สอนให้รวย ... เคล็ดไม่ลับสร้างกำไรให้โชวห่วย
เคล็ดลับไม่รับเปิดร้านโชวห่วย จะรวยแค่ไหน อาจจะตอบยากไปนิด เพราะมันก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น ต้นทุนสินค้า บริหารจัดการ ยอดขาย ทำเล เป็นต้น ผลลัพธ์ของวิธีการก็คือ "กำไร" ของร้านนั่นเอง แม้หลายคนจะอ้างว่า "ร้านโชวห่วยเดี๋ยวนี้สู้พวกสะดวกซื้อไม่ได้" เพราะโปรโมชั่น รูปแบบร้าน และสินค้า เป็นต้น และ กำจัดนิยามของโชวห่วยเพียงแค่ธุรกิจครอบครัว ทำให้รูปแบบการบริหารเหมือนทำเล่นๆ ขำๆ เสียมากกว่าการบริหารที่เป็นในรูปแบบธุรกิจเสียเอง

แต่ในภาวะปัจจุบัน การเติบโตของร้านโชวห่วยเริ่มมีสัดส่วนมากขึ้น ดูได้จากข้อมูลสถิติการแจ้งจดทะเบียนร้านโชห่วยพบว่า 44.1% ประมาณ 443,123 ร้าน จากสถิติปี 2562 และภูมิภาคที่มีโชวห่วยเติบโตมากที่สุดคือ ภาคอิสาน ส่วนในภาคอื่นๆ นั้นตามลำดับ จากการเก็บข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กองส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ จากข้อมูลการเติบโตของธุรกิจโชวห่วยนั้น ชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจนี้ยังน่าสนใจและยังมีการลงทุนอยู่ตามปกติ แม้สภาพของสังคมจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการค้าขายของธุรกิจค้าปลีกไปบ้างแล้วก็ตาม โดยที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้โชวห่วยลดลงแต่อย่างใด

สำหรับใครที่สนใจเปิดร้านโชวห่วย นอกจากต้องรู้เรื่องหาทำเลที่ตั้ง หาแหล่งสินค้าในการซื้อเข้าร้าน วางรูปแบบการบริหารจัดการในร้าน สิ่งสำคัญที่ต้องทำอีกอย่างก็คือการขออนุญาตโดยหลักๆ จะมีการขออนุญาตและเสียภาษี 3 ประเภทคือ
ภาษีสรรพสามิตร ต้องมีใบอนุญาตและเสียค่าธรรมเนียม ในการขาย บุหรี่ เหล้า-เบียร์
ภาษีสรรพากร ภาษีเงินได้
ภาษีโรงเรือน ภาษีบำรุงท้องที่
กำไรร้านโชห่วย มาจากไหน?
ถ้ามองว่าขายของแค่ 5 บาท 10 บาท บางทีเด็กแถวบ้านมาซื้อลูกอม 3 บาท 5 บาท ซื้อนม ซื้อนม ยอดบิลต่อคนบางทีแค่ 10-20 บาท เจ้าของร้านมีกำไรตรงไหน ข้อมูลจาก Pantip มีคนที่แสดงความเห็นว่า มันขึ้นอยู่กับว่าขายอะไร สินค้าบางตัวกำไรไม่ถึง 10% บางชิ้นอาจจะ 50+% คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าร้านของเราขายอะไรได้เยอะ
วิธีการหากำไรจึงต้องเอารายการซื้อของทั้งหมดมารวบรวมพร้อมกับราคาขาย แล้วก็เฉลี่ยทั้งเดือนว่ากำไรจะอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ แต่วิธีนี้มันก็ไม่ใช่ตัวเลขที่แน่นอน เพราะสินค้าที่ซื้อมาก็ไม่ได้ขายหมดในเดือนนี้ สินค้าที่ขายบางชิ้นก็ยกยอดมาจากเดือนก่อน แต่มันก็จะได้เปอร์เซ็นต์ประมาณการอยู่เฉลี่ย 15% บวกลบได้อีก ก็ขึ้ออยู่กับปัจจัยแวดล้อมที่แต่ละร้านอาจไม่เหมือนกัน
หรืออีกกรณีหนึ่ง สิ้นเดือนก็เอายอดขายทั้งเดือนมาลบกับยอดซื้อ แล้วหาร ก็จะได้เปอร์เซ็นต์ของกำไรในเดือนนั้น แต่วิธีนี้ตัวเลขไม่ค่อยจะแม่นยำนัก เพราะบางเดือนอาจมีสินค้าโปรโมชั่น ซื้อของสต๊อกเยอะ ถ้าคิดด้วยวิธีนี้บางทีอาจจะมีกำไรติดลบเลยก็ได้
หรือจะใช้โปรแกรม excel ในการคำนวณ โดยใช้สูตรที่ว่า
ทุน = ราคาขาย / 1.xx
xx คือ กำไรเป็น %
เช่น ขายของได้ 1,100 บาท ทุน 1,000 บาท กำไร 100 บาท ได้กำไร 10%
จากตัวอย่าง เราจะรู้ว่าขายของได้ 1,100 บาท อยากรู้ว่าได้กำไรกี่บาท
ทุน = 1,100 / 1.10 (สมมุติที่ 10%)
ทุน = 1,000 บาท
อีกตัวแปรคือ xx (กำไรเป็น %)
ให้หยิบของที่กำไรต่อหน่วยน้อยที่สุดมาคำนวณดูว่า เราได้กำไรน้อยสุดอยู่ที่กี่ %
ขนมต้นทุน 5 บาท เอามาขาย 6 บาท
xx = กำไร / ต้นทุน = 1 / 5 = 0.2 หรือ 20%

อย่างไรก็ดีหลักการเบื้องต้นและเป็นหลักของการตลาดที่เราหาข้อมูลเพิ่มเติมได้พูดถึงวิธีการตั้งราคาขายสินค้าว่าต้องเอา ราคาทุน + 20% = ราคาขายสินค้า ซึ่งอาจจะบวกต่ำกว่า 20% หากเป็นสินค้าขายดี ขายไว และขายได้ปริมาณมากๆ หรืออาจจะบวกถึง 30% หากเป็นสินค้าที่นานๆ จะขายได้ และสินค้าที่คนส่วนใหญ่นานจะซื้อสักที
แต่อย่านำสินค้าหลายๆ อย่างมาบวกกำไรตามใจชอบเองไม่ได้ เราต้องขายราคาตามท้องตลาดที่เขาขายกัน ราคาที่เราสามารถมาบวกเองได้ตามที่่เราต้องการ เราต้องดูราคาจากร้านคู่แข่งด้วย พยามอย่าให้ขายแพงกว่าเขา สรุปโดยรวมเลยสินค้าทั่วไปที่จะต้องบวกกำไรควรอยู่ที่ประมาณ ขอย้ำว่าประมาณนะครับ จะมากจะน้อยกว่านี้ก็ได้ แต่ควรให้ได้กำไรเกาะอยู่ที่ 20%เป็นหลัก และหากจะดียิ่งขึ้นหากร้านโชวห่วยมีการปรับปรุงระบบภายในร้าน นำเอาPOS เข้ามาช่วยในการขาย ปรับปรุงภูมิทัศน์ในร้าน จัดวางสินค้าให้เป็นระเบียบ และรู้จักตกแต่งร้าน เพิ่มบริการที่หลากหลาย และใช้การตลาดแบบออนไลน์ให้เกิดประโยชน์ก็ได้เช่นกัน ถือว่าเพิ่มช่องทางการขายให้ตัวเองอีกทางหนึ่ง
สุดท้ายนี้คำว่าร้านโชวห่วยก็จะกลายเป็นอีกธุรกิจที่ยังจะอยู่คู่ชุมชนได้อีกนาน และจะช่วยให้เจ้าของกิจการมีกำไรมากขึ้นอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย
------------------------------------------