ห้องเม่าปีกเหล็ก

ทรัมป์=คูลิดจ์

โดย เม่าคาวบอย
เผยแพร่ :
128 views

ทรัมป์=คูลิดจ์

……………………………….

จากเพจ ‘นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย’

และไลน์ไอดี @ntp59

……………………………….

 

ค.ศ.1924-1929 หุ้นในสหรัฐฯสูงขึ้นร้อยละ 22 คนอเมริกันได้รับข่าวสารกรอกหูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ว่าถ้าจะให้ชีวิตดีมีความสุข ก็ต้องเล่นหุ้น คนอเมริกันจึงเข้ามาเสี่ยงโชคในตลาดหุ้นมากเป็นประวัติการณ์

กระทั่งอังคารวันที่ 29 ตุลาคม 1929 ตลาดหุ้นก็พินาศย่อยยับอับปาง ในเวลาต่อมาเราเรียกวันนั้นกันว่า Black Tuesday

Black Tuesday สร้างความเสียหายให้คนอเมริกันมากถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คนอเมริกันส่วนใหญ่หมดตูด

จำนวนไม่น้อยก็มีหนี้สินล้นพ้นตัว เพราะธนาคารปล่อยกู้บานเบอะเยอะแยะ เพื่อให้คนเอาไปเล่นหุ้น

หนี้เสียกองพะเนินเทินทึก จนธนาคารหลายพันแห่งประคองธุรกิจไปไม่ไหว เจ้าของและผู้บริหารธนาคารต่างหนีเอาตัวรอด

ข่าวตลาดหุ้นพัง ธนาคารล้ม ทำให้ประชาชนเกิดความตระหนกตกใจ รีบสาวเท้าก้าวไปที่ธนาคารเพื่อทำการถอนสตางค์

แต่ไปถึงก็พบว่า อ้า ประตูธนาคารปิด ไม่มีใครอยู่ในนั้น อ้าว เฮ้ย เศรษฐกิจสหรัฐฯฉิบหาย กลายเป็นขยะไปซะแล้ว

เพราะตลาดหุ้นโตอย่างพุ่งกระฉูดส่งตูดจัมโบ้ ธนาคารก็หาสตางค์จากการให้คนกู้เงินไปซื้อหุ้น

เมื่อหนี้เสียลามไปทุกตรอกซอกมุมของแผ่นดิน คนออมที่ไม่ได้เกี่ยวดองหนองยุ่งกับหุ้นก็พลอยล้มละลายไปด้วย

ค.ศ.1923 ประธานาธิบดีวอร์เรน จี. ฮาร์ดิง แห่งพรรครีพับลิกัน ตายกลายเป็นผีขณะดำรงตำแหน่ง

รองประธานาธิบดีที่ชื่อคาลวิน คูลิดจ์ ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศแทน และได้เป็นประธานาธิบดีเต็มวาระระหว่าง ค.ศ.1924–1929

คูลิดจ์เป็นคนมีความมั่นใจสูง ความคิดความอ่านของแกมักจะขัดแย้งกับผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานราชการ

บริหารงานโดยสัญชาตญาณมากกว่าใช้ข้อมูลเชิงลึก มักจะพูดถึงตัวเองในแง่บวกและชอบว่าตัวเองพบความสำเร็จ

คูลิดจ์เชื่อว่าสหรัฐฯต้องโดดเด่นเป็นชาติเบอร์ต้นของโลก แกคิดว่าไม่ว่าใคร ชาติไหน ก็ต้องง้อสหรัฐฯ จึงตั้งกำแพงภาษีสูงปรี๊ด เพื่อกีดกันการค้าจากต่างประเทศ สหรัฐฯจึงถูกตอบโต้ทางการค้า จากประเทศอื่น

สมัยนั้นมีหลายประเทศผลิตสินค้าได้ไม่แพ้สหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศทางยุโรป สินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯขายไม่ออกเพราะราคาแพง ต้นทุนการผลิตสูง ตลาดในประเทศก็ไม่ใหญ่โตมโหฬารเพียงพอ

แต่เพราะความเชื่อบ้าๆ ว่าอเมริกายิ่งใหญ่ของคูลิดจ์ ทำให้แกไม่ลดภาษีศุลกากร แถมอาละวาดฟาดงวงฟาดงาประเทศที่ตั้งกำแพงภาษีท้าทายกับสหรัฐฯ

สหพันธ์แรงงานที่รวมตัวเรียกร้องค่าแรงเพิ่มก็โดนรัฐบาลด่า ประชาชนทั่วไปก็ด่าตาม ทำให้สังคมขาดความสามัคคีปรองดอง สังคมของอเมริกันอ่อนแอ

ความทะนงหลงตัวว่าสหรัฐฯยิ่งใหญ่แล้ว ทำให้ไม่มีการนำเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการผลิต สินค้าที่ผลิตแบบเก่า ไม่ดึงดูดให้คนซื้อหามาใช้ ไหนจะแบบเก่า ไหนจะราคาแพง

ตลาดหุ้นพังครบ 1 ปี มีธนาคารประมาณ 1,300 แห่งปิดตัว จนถึง ค.ศ.1932 ธนาคารก็ปิดไปอีก 6,000 แห่ง เมื่อคนสูญเสียเงินออม ก็เกิดวงจรความหายนะทางการเงิน

สี่ปีแรกที่ประธานาธิบดีตั้งภาษีขาเข้าสูงปรี๊ด+ตลาดหุ้นพัง (ค.ศ.1929-1932) ทำให้ผลผลิตมวลรวมของสหรัฐฯลดลงเฉลี่ยร้อยละ 10 รายได้ประชาชาติลงจาก 81,000 ล้านดอลลาร์ เหลือเพียง 41,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ธุรกิจที่เลิกกิจการในห้วง 4 ปีที่ว่ามีมากถึง 85,000 แห่ง มีคนมาลงทะเบียนว่าเป็นคนตกงานเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 แสนคน

ค.ศ.1929 ตัวเลขของรัฐบาลที่เก็บจำนวนคนตกงานมี 1.5 ล้านคน พอถึง ค.ศ.1933 มีมากถึง 15 ล้านคน (ไม่นับแรงงานที่ทำงานแบบไม่เต็มเวลา)

เพราะความมุทะลุดุดัน เอาแต่ใจตนเองของผู้นำจากพรรครีพับลิกันเพียงคนเดียว ทำให้คนอเมริกันเผชิญวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

คนอเมริกันสมัยนั้นต้องหันไปทำอะไรสักอย่างเพื่อประทังชีวิต เช่น ขัดรองเท้า ขายแอปเปิ้ลข้างถนน ลักเล็กขโมยน้อย ขอทาน ฯลฯ

อดีตเจ้าของกิจการก็แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าดีๆ ที่เคยใช้สมัยมีฐานะไปยืนขายของข้างถนน

โรงพยาบาลจิตเวชเต็มไปด้วยผู้ป่วย

คนอเมริกันจำนวนไม่น้อยฆ่าตัวตายหนีความจน.

 


เม่าคาวบอย