ข้อคิดจากหนังสือ
The Brain Audit

1. ลูกค้าซื้อเพราะ “ปัญหา” ไม่ใช่ “สินค้า”
คนส่วนใหญ่ไม่ได้อยากได้สินค้าหรือบริการ แต่ต้องการ “แก้ปัญหา” บางอย่างในชีวิต เช่น คนซื้อสว่าน ไม่ได้อยากได้สว่าน แต่เขาอยากได้ “รูบนกำแพง” → ถ้าเราพูดถึงปัญหาได้ตรงใจ โอกาสปิดการขายสูงขึ้น
⸻
2. ปัญหาต้อง “เฉพาะเจาะจง”
ถ้าบอกปัญหากว้าง ๆ เช่น “อยากมีสุขภาพดี” มันไม่ดึงดูดพอ แต่ถ้าบอกว่า “ลดอาการปวดหลังจากนั่งทำงานนาน ๆ” จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “นี่แหละ ปัญหาของฉันเลย”
⸻
3. วิธีแก้ปัญหาต้องชัด
ลูกค้าอยากรู้ว่าคุณจะแก้ปัญหาอย่างไร ไม่ใช่เพียงบอกว่า “เราดีที่สุด” หรือ “สินค้านี้ยอดเยี่ยม” แต่ต้องบอกเป็นขั้นตอน เช่น “เพียงวันละ 15 นาที ใช้ท่านี้จะช่วยลดอาการปวดหลัง”
⸻
4. หลักฐานคือกุญแจสร้างความน่าเชื่อถือ
คำพูดของเจ้าของสินค้าไม่พอ ต้องมี “หลักฐาน” เช่น รีวิวจากลูกค้าเก่า, ตัวเลขสถิติ, หรือกรณีศึกษาที่ชัดเจน → ยิ่งพิสูจน์ได้ ลูกค้ายิ่งเชื่อ
⸻
5. แสดงให้เห็น “ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม”
ลูกค้าต้องเห็นภาพว่าหลังใช้สินค้าแล้วชีวิตจะดีขึ้นอย่างไร เช่น “ภายใน 30 วัน คุณจะนอนหลับได้ลึกขึ้น” มากกว่าพูดกว้าง ๆ ว่า “คุณจะสุขภาพดีขึ้น”
⸻
6. ความน่าเชื่อถือของคุณคือสินทรัพย์สำคัญ
ลูกค้ามักซื้อจากคนที่เขาไว้ใจ → การเล่าเรื่องจริง, แสดงประสบการณ์, หรือเปิดเผยวิธีคิดของคุณ ทำให้ลูกค้ารู้สึกเชื่อถือคุณมากขึ้น
⸻
7. ข้อคัดค้านต้องจัดการล่วงหน้า
ลูกค้ามักมีคำถามในใจ เช่น “มันแพงไปไหม?”, “ใช้แล้วจะเห็นผลจริงเหรอ?” ถ้าเราไม่ตอบ เขาจะลังเล แต่ถ้าเราอธิบายก่อน (เช่น ให้การันตีคืนเงิน, มีตัวอย่างจริง) ลูกค้าจะรู้สึกปลอดภัยที่จะซื้อ
⸻
8. ลูกค้าตัดสินใจด้วย “อารมณ์” แล้วหาเหตุผลมาสนับสนุน
แม้จะดูเหมือนใช้เหตุผล แต่จริง ๆ แล้วการซื้อคือเรื่องอารมณ์ เช่น ความอยากได้ ความกลัวตกเทรนด์ → เราต้องสื่อสารให้กระทบความรู้สึกก่อน แล้วค่อยตามด้วยเหตุผล
⸻
9. ลูกค้าต้องการ “ความชัดเจน” มากกว่าความซับซ้อน
ไม่ใช่การพูดให้ดูฉลาด แต่คือการอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด → เมื่อข้อความชัดเจน ลูกค้าจะรู้สึกมั่นใจและกล้าตัดสินใจซื้อ
ที่มา.. เพจReadism