ห้องเม่าปีกเหล็ก

วิชาเซียนหุ้น "พายัพ ชินวัตร" เคล็ดวิชาเทรดหุ้น (ร้อน) ไม่ให้เจ็บตัว !

โดย คนเล่นหุ้น
เผยแพร่ :
66 views

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พายัพ ชินวัตร

วันนี้ "พายัพ ชินวัตร" ประกาศยุติเส้นทาง "เทรดหุ้น"ที่ตัวเองชื่นชอบไปเรียบร้อยแล้ว...ด้วยเหตุผลของอาการเจ็บป่วยทำให้ไม่สามารถดูแลหุ้น (ที่ราคาเคลื่อนไหวเร็ว) ได้สะดวก

"พายัพ" บอกกับกรุงเทพธุรกิจ BizWeek เมื่อถูกถามว่าจะเลิกเล่นหุ้นจริงๆ หรือ เขาตอบว่ารู้สึก "เบื่อๆ อยากๆ"

ประสบการณ์การลงทุนตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เขาเล่าว่า เคยผ่านการลงทุนมาทุกรูปแบบ ทั้งหุ้นพื้นฐานอย่าง ITD, ADVANC, BANPU, PTT และ TPI


ก่อนจะมาจบตรงที่ "หุ้นเล็ก" หลังจากค้นพบว่าโอกาสทำกำไร (มากๆ) จาก "หุ้นเล็ก" เยอะกว่า...

"เอาอย่างนี้ เล่นหุ้นใหญ่ก็เหมือนคุณปลูกต้นสักรอเก็บผลยาวหุ้นเล็กก็เหมือนปลูกผักชี คุณสามารถเด็ดได้ทุกวันแต่ต้องระวังพอร้อนหน่อยก็ตาย คือ หุ้นเล็กระหว่างทาง (ขาขึ้น)มันซื้อขายได้ตลอด

สมมติ หุ้นตัวนี้ราคา 1 บาท เราคำนวณว่ามันจะไป 4-5 บาท คุณก็เล่นไปซื้อๆขายๆ ไปตลอด มันก็สนุกใช่ไหม แต่ถ้าเดาผิดก็เจ๊ง ก็แค่นั้นเอง"

เพราะอยู่บนหุ้นร้อน การลงทุนของพายัพ จึงมี "หลักการ" ที่แตกต่างออกไป

เขาแบ่งนิยามของการลงทุนออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1)เสียหมดทุกคน..เพราะหุ้นขาดสภาพคล่อง ยกตัวอย่างหุ้นตัวนี้ไม่มีใครซื้อไม่มีใครขายเลย อยู่ๆ มีคนขายซัก 100 หุ้น ราคาก็ลงเท่ากับเสียทุกคน

2) มีคนได้ก็มีคนเสีย (Zero Sum Game) หุ้นแบบนี้ต้องมี"เจ้ามือ" แต่ว่าเจ้ามือเล่นไปแล้วก็ขายหุ้นไป ตัวเองได้กำไรคนอื่นขาดทุน
3) ได้ทุกคน (Win-Win Game) หุ้นขึ้นไปตามพื้นฐานของมัน (เช่น PTT)

"เมื่อก่อนที่ผมเล่น ผมโดนทุกแบบ เหมือนตีกอล์ฟต้องตีตกน้ำบ้าง ตีตกทรายบ้าง ตีลงบนกรีนบ้างเป็นธรรมดา"

พายัพบอกว่า ก่อนการเล่นหุ้นทุกครั้ง ตัวเองจะใช้หลักคิด 3 อย่างเพื่อป้องกันการเจ็บตัว

1) ภาพใหญ่ต้องแม่นยำ...เศรษฐกิจโลกเศรษฐกิจในประเทศต้องแม่นยำ ถ้าขาขึ้นมาเล่นหุ้นไม่ (มี)เจ็บตัว

2)เหมือนลูกน้องมองนาย (หาหุ้นที่มีสตอรี่) นายเป็นใหญ่เป็นโตถ้าลูกน้องเดินตามเจ้านาย วันหนึ่งหากเจ้านายประสบความสำเร็จลูกน้องก็พลอยเจริญด้วย


3) อ่านว่าหุ้นตัวนี้มันจะ "ทุบสถิติ" (Break Record) ได้หรือป่าวสมมติราคาเคยสูงสุด 5 บาท คาดว่ามันจะเกินกว่านี้หรือไม่การซื้อหุ้นที่มันทำ "จุดสูงสุดใหม่" เราซื้อราคาไหนมันก็ได้กำไรไม่ขาดทุน


อ่านอย่างไรถึงรู้ว่าหุ้นตัวไหนจะ "Break Record" พายัพบอกว่ามันเป็นส่วนผสมที่ต้องดู ทั้ง ภาพพจน์บริษัท ธุรกิจของบริษัทการบริหารงานของบริษัท กราฟราคาหุ้นของบริษัทที่ผ่านมา กลุ่มคนที่มาเล่นและอาการของหุ้นว่าเป็นอย่างไร


"พวกนี้เราจะดูหมด ถ้าทุกอย่างเป็นบวก ก็แสดงว่าพวกนี้มีแนวโน้มที่จะเกินสถิติ"

ส่วนอาการที่หุ้นตัวไหนกำลังจะไป ให้สังเกตฝั่ง "Bid" (เสนอซื้อ)มันจะแข็ง จำนวนครั้งที่ซื้อ หรือ "วอลุ่มซื้อ" มันเติมมาบ่อยกว่าขายส่วนฝั่ง "Offer" (เสนอขาย) คนจะไม่ค่อยเติม นี่คือ อาการหุ้นจะขึ้น

"ในเมื่อเรารู้ว่ามันจะขึ้น เราก็ซื้อ (กวาดวอลุ่ม) ก่อน พอเราซื้อปั๊บมันก็ขึ้นๆๆๆ"



เมื่อถามว่ามีกำไรเท่าไหร่จึงขายออก พายัพเปรียบว่า มันขึ้นอยู่กับมะม่วงถ้าเราซื้อมาตั้งแต่ลูกเล็กๆ หรือซื้อลูกที่สุกแล้วถ้าลูกเล็กก็รอให้เป็นลูกใหญ่ๆ สุกๆ ถือได้นาน (รอกำไรเยอะๆ)ถ้าซื้อมาตอนใกล้สุก อาจจะอยู่ได้ 1-2 วันก็ต้องรีบออก

"อยู่ที่ว่ามันสุกเมื่อไหร่ล่ะ บางทีกำไรแค่ 1% ก็ต้องรีบขาย เพื่อให้มันคุ้มค่าคอมฯ"

รู้ได้อย่างไรว่า "มะม่วงใกล้สุก" 1) ต้องดูฐานของหุ้น (จำนวนหุ้นเทรด)
ตัวนั้นๆ ว่ามันโตขึ้นแค่ไหนแล้ว 2) ต้องดูว่าราคาหุ้นมันอืดหรือเปล่า

"แต่ต้องเข้าใจนะว่า อืดรายวัน กับ อืดรายปี มันต่างกัน สมมติราคาอยู่ที่41-42 บาท พอมันขึ้น 45 บาทปุ๊บ!!! มีแต่คนขายๆๆ นี่ก็แสดงว่ามันอืดเป็นอย่างนี้บางทีครึ่งชั่วโมงก็ "ร่วง" แล้ว...นี่ไงผมไม่ค่อยได้เฝ้า
ก็เลยไม่เล่น...คนที่จะเล่นเข้าๆ ออกๆ ได้อย่างนี้ต้องเก่ง
ส่วนหนึ่งเกิดจากชั่วโมงบินสูง รู้จักสังเกต ฝึกฝน เข้าใจธรรมชาติของหุ้น
และไม่โลภมาก"

นอกจากนี้เขายังบอกถึงวิธีการ “เอาตัวรอด” ถ้าคิดจะเข้าไปคลุกวงในกับ "หุ้นร้อน" ท่ามกลางเสือสิงห์ว่า..


1) ต้องยอมรับเมื่อได้กำไร จะมากจะน้อยให้พอใจ (อย่าโลภมากเด็ดขาด)
แต่ถ้าเข้าจังหวะผิดถึงจุดหนึ่งที่ตั้งใจไว้ "ต้องขายทิ้งทันที"
ถ้าเป็นมะเร็งต้องตัดแขน ก็ตัดทันที ต้องตัดขาก็ตัดทันที
อย่างนี้อยู่ได้นาน


"แต่เล่นหุ้นดีกว่าเป็นมะเร็ง เพราะมะเร็งตัดแล้วตัดเลย แต่ถ้าเล่นหุ้นตัดแล้วมารับกลับได้"

2) การเล่นหุ้นมันจะมีสัญญาณ เหมือนกับนายพรานที่กำลังล่าเหยื่อ
เห็นลักษณะของเหยื่อว่าควรจะยิงยังไง เป็นสัญชาตญาณ ต้องเห็น ต้องรู้
ต้องใช้วิธีสังเกต เวลาดูหุ้น สังเกตเป็นตัวๆ ดูสัก 3 วันก็จะรู้
นั่งดูตัวเดียวนี่แหละ


3) ถึงเวลาขายก็ขายทิ้งเลยทั้งก้อน ซื้อก็ซื้อเลย อย่ามากระยิกกระยอก
อย่าขายแล้วได้กำไรนิดเดียว เก็บไว้ครึ่งหนึ่ง เดี๋ยวมันจะขาดทุนที่เหลือ

พายัพยอมรับว่า ในอดีตเคยพลาดขาดทุนถึงขนาดเอามือก่ายหน้าผาก
โดนหนักช่วงก่อนวิกฤติ หรือแม้แต่ช่วงหุ้นขาลงเช่นขณะนี้ ถ้ายังเล่นอยู่ก็
"เสีย"

"เล่นหุ้นมันไม่มีใครได้ตลอดไป และเสียตลอดกาลหรอก ช่วงที่คุณเห็นชื่อ
"พายัพ" ปรากฏอยู่ในหุ้นมากๆ นั่นแสดงว่ามันขาดทุน หุ้นตัวไหนได้กำไร
คุณไม่เห็นชื่อผมหรอก"


พายัพบอกว่า การเป็นนักลงทุนรายใหญ่ไม่ใช่ง่ายๆ สมมติมีหุ้นอยู่แล้ว 1
ล้านหุ้น เราเข้าไปซื้อ กวาดไป 3 ช่องราคา ได้มาอีก 1 ล้านหุ้น ทีนี้จะขาย
2 ล้านหุ้นขายไม่ได้ เพราะขายแค่ 2 แสนหุ้น ราคามันลงพรวด
กลับมาที่เดิมอีกแล้ว ส่วนวิธีว่าจะออกอย่างไร ก็แล้วแต่สถานการณ์
ในหุ้นแต่ละตัวมีบทเรียนเยอะแยะ อย่าง BNT
ก็เป็นหุ้นของเสือสิงห์กระทิงแรดทั้งนั้น

ในการเล่นหุ้นของพายัพ จะมี "กลุ่มก๊วน" อยู่เหมือนกัน
อย่างไรก็ตามเขาตอบปฏิเสธว่า
แม้จะมีพรรคพวกแต่ก็ไม่เคยโยนหุ้นสร้างราคากันเอง
นอกจากจะเสี่ยงถูกจับได้แล้ว ยังไม่คุ้มค่าคอมฯอีกต่างหาก

พายัพมีความเห็นว่า
ตลาดหลักทรัพย์เองก็ควรที่จะให้กำลังใจนักลงทุนอยู่เสมอ
ซึ่งโดยส่วนตัวชอบสมัยที่ "ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์"
เป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์มากที่สุด

กรุงเทพธุรกิจ BizWeek


คนเล่นหุ้น