ศึก 3 ด้านเขย่าโลก! ตลาดลุ้น 'ดีลจีน' ผวา 'เงินเฟ้อ' จับตา 'เกมชิงเก้าอี้เฟด' | Podcast Available
เริ่มต้นกันที่ภาพใหญ่ของตลาดเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา บรรยากาศการลงทุนกลับมาสดใสอีกครั้ง ดัชนีหลักต่างพากันปิดในแดนบวก นำโดยดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวขึ้น 0.6% ปิดที่ 6,038.81 จุด ซึ่งนับว่าอยู่ห่างจากจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All-Time High) ไม่ถึง 2% แล้ว ถือเป็นสัญญาณบวกที่ชัดเจน ขณะที่ดัชนี Nasdaq 100 ที่เต็มไปด้วยหุ้นเทคโนโลยี ก็ปรับขึ้น 0.7% และดัชนี Dow Jones Industrial Average ขยับขึ้น 0.3%
อะไรคือปัจจัยที่จุดประกายความหวังครั้งนี้? คำตอบอยู่ที่คำพูดเพียงไม่กี่คำจากคุณโฮเวิร์ด ลุตนิค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ที่กล่าวกับสื่อมวลชนถึงการเจรจาการค้ากับจีนว่า "เป็นไปด้วยดีมากๆ" (really, really well) คำพูดนี้เปรียบเสมือนน้ำทิพย์ชโลมใจนักลงทุนที่เฝ้ารอความคืบหน้ามานาน และส่งผลให้ตลาดตอบรับในเชิงบวกทันทีค่ะ

เจาะลึกเบื้องหลังโต๊ะเจรจา: เดิมพันสูงที่ลอนดอน
เพื่อที่จะเข้าใจความสำคัญของคำพูดนี้ เราต้องย้อนกลับไปดูเบื้องหลังการเจรจาที่กำลังเกิดขึ้น ณ Lancaster House สถานที่อันทรงเกียรติในกรุงลอนดอน ทีมเจรจาของสหรัฐฯ ประกอบด้วยบุคคลระดับสูงทั้งคุณสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง, คุณโฮเวิร์ด ลุตนิค และคุณเจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ส่วนฝ่ายจีนนำโดยรองนายกรัฐมนตรีเหอ ลี่เฟิง
แก่นของการเจรจารอบนี้ คือการพยายามหาข้อสรุปในรายละเอียดทางเทคนิคของ "สัญญาสงบศึก" ที่ตกลงกันไว้เมื่อเดือนก่อนที่เจนีวา ซึ่งเป็นข้อตกลงที่เปราะบางและต้องการความชัดเจนเพิ่มเติม การต่อรองครั้งนี้มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่สำคัญอย่างยิ่งค่ะ
ฝั่งสหรัฐฯ ต้องการอะไร? พวกเขาต้องการให้จีนเพิ่มการส่งออก "แร่หายาก" (Rare Earths) ซึ่งเป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯ การที่จีนชะลอการส่งออกก่อนหน้านี้ได้สร้างความเสี่ยงต่อภาคการผลิตของสหรัฐฯ อย่างมาก
ฝั่งจีนต้องการอะไร? เพื่อแลกกับการอำนวยความสะดวกเรื่องแร่หายาก จีนต้องการให้สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้าที่เพิ่งประกาศใช้ ซึ่งพุ่งเป้าโดยตรงไปยังเทคโนโลยีสำคัญของจีน ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์ออกแบบชิป, ชิ้นส่วนเครื่องยนต์เจ็ต และอื่นๆ การยกเลิกมาตรการเหล่านี้จะถือเป็น "ชัยชนะ" ที่สำคัญสำหรับจีน และเป็นการเปิดทางให้ภาคเทคโนโลยีของตนได้หายใจหายคอ
การเจรจานี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะหากล้มเหลว ก็อาจนำไปสู่การกลับมาใช้กำแพงภาษีที่รุนแรงขึ้นอีกครั้ง แต่หากสำเร็จ ก็จะเป็นการปูทางไปสู่ความสัมพันธ์ทางการค้าที่มั่นคงขึ้นนั่นเองค่ะ
ความท้าทายที่รออยู่: ตัวเลขเงินเฟ้อ ตัวชี้วัดสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความหวังเรื่องการค้า เรายังมีความไม่แน่นอนรออยู่ข้างหน้า นั่นคือการประกาศ "ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน" (Core CPI) ประจำเดือนพฤษภาคม ซึ่งนักลงทุนและนักวิเคราะห์ต่างจับตาอย่างไม่กระพริบ
ทำไมตัวเลขนี้ถึงสำคัญ? เพราะ Core CPI คือมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากมันตัดราคาอาหารและพลังงานที่ผันผวนออกไป ทำให้เห็นแนวโน้มแรงกดดันด้านราคาที่แท้จริงของเศรษฐกิจได้ดีกว่า
การคาดการณ์ล่าสุดชี้ว่า Core CPI อาจเร่งตัวขึ้น 0.3% ในเดือนพฤษภาคม และแตะระดับ 2.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งจะเป็นการเร่งตัวครั้งแรกของปีนี้นั่นเองค่ะ
ตัวเลขนี้จะเป็นตัวกำหนดท่าทีของเฟดโดยตรง หากเงินเฟ้อสูงกว่าคาด เฟดอาจต้องคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไปเพื่อควบคุม ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้น แต่หากออกมาต่ำกว่าคาด ก็อาจเปิดช่องให้เฟดพิจารณาลดดอกเบี้ยในอนาคตได้ จากผลสำรวจของ 22V Research พบว่า 42% ของนักลงทุนเชื่อว่าปฏิกิริยาของตลาดต่อข้อมูล CPI จะเป็น "Risk-on" (เปิดรับความเสี่ยง) ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สิงหาคม 2024 ที่มุมมองเชิงบวกมีมากกว่าตอนนี้
ส่องข่าวใหญ่ในแวดวงธุรกิจ: เมื่อยักษ์ใหญ่ขยับตัว
เมื่อมองมาที่ระดับบริษัท เราจะเห็นภาพสะท้อนของเศรษฐกิจมหภาคได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
กลุ่มเทคโนโลยี: Tesla โดดเด่นอย่างมากและเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดรอบนี้ หลังคุณอีลอน มัสก์ เผยแพร่วิดีโอรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติในเมืองออสติน ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าบริการแท็กซี่ไร้คนขับ (Robotaxi) ที่หลายคนรอคอย ใกล้ความจริงเข้ามาทุกขณะ ขณะที่ Meta ของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ก็กำลังทุ่มสรรพกำลังสร้างทีมเพื่อพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) ซึ่งถือเป็นการแข่งขันในสมรภูมิเทคโนโลยีขั้นสุดยอด
กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและค้าปลีก: ภาพสะท้อนกำลังซื้อของผู้บริโภคปรากฏชัดเจนมากขึ้นค่ะ โดย J.M. Smucker บริษัทกาแฟและอาหารแปรรูป เผชิญกับข่าวร้าย หุ้นดิ่งหนักที่สุดในรอบเกือบ 40 ปี หลังประกาศว่าต้นทุนจากกำแพงภาษีจะกัดกินกำไรอย่างหนัก ในทางกลับกัน McDonald's ถูกนักวิเคราะห์ที่ Redburn Atlantic ปรับลดคำแนะนำเป็น "ขาย" เป็นครั้งแรก ด้วยเหตุผลว่าพฤติกรรมผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนไปจากเทรนด์ยาลดน้ำหนักและแรงกดดันจากเงินเฟ้อ
กลุ่มการเงินและอุตสาหกรรม: Citigroup หนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุด ส่งสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า ด้วยการเตรียมตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าสุขภาพทางการเงินของลูกหนี้รายย่อยอาจกำลังถดถอย สวนทางกับที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ในขณะที่ Boeing กลับมีข่าวดี เมื่อมียอดสั่งซื้อเครื่องบินรายเดือนสูงสุดในรอบกว่าหนึ่งปี สะท้อนความเชื่อมั่นในภาคการบินที่ฟื้นตัว
ศึกชิงบัลลังก์เฟด: เกมการเมืองที่อาจเปลี่ยนทิศทางเศรษฐกิจโลก
อีกหนึ่งเรื่องราวที่เข้มข้นไม่แพ้กันและจะส่งผลกระทบในระยะยาว คือการสรรหาประธานเฟดคนใหม่แทนคุณเจอโรม พาวเวล ที่จะหมดวาระในเดือนพฤษภาคม 2026 โดยทางด้านประธานาธิบดีทรัมป์ได้แสดงความไม่พอใจต่อคุณพาวเวลมาโดยตลอดที่ลังเลในการลดดอกเบี้ย และประกาศว่าจะเสนอชื่อคนใหม่ในเร็วๆ นี้
ตัวเต็งคนใหม่: คุณสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังคนปัจจุบัน กลายเป็นม้ามืดที่พุ่งขึ้นมาเป็นตัวเต็ง ด้วยบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเจรจาการค้า จนได้รับความไว้วางใจจากตลาดทุนและทีมงานของทรัมป์
คู่แข่งคนสำคัญ: คุณเควิน วอร์ช อดีตผู้ว่าการเฟด ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านนโยบายการเงินโดยตรงและได้รับการสนับสนุนจากนักเศรษฐศาสตร์หลายคน
เดิมพันครั้งนี้สูงมาก เพราะตำแหน่งประธานเฟดไม่ได้ดูแลแค่เศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ยังส่งผลต่อทั้งโลก ผู้ที่จะมารับตำแหน่งนี้ต้องเผชิญความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างแรงกดดันทางการเมือง และการรักษา "ความเป็นอิสระ" ของธนาคารกลาง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความน่าเชื่อถือในระบบการเงินโลกค่ะ
ภาพรวมข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจจากทั่วโลก
วิกฤตอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์จีน: อุตสาหกรรมที่เคยรุ่งเรืองกำลังเผชิญมรสุมครั้งใหญ่จากภาวะอุปทานล้นตลาด จนบริษัทผู้ผลิตต้องออกมาขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล หลัง 5 บริษัทยักษ์ใหญ่รายงานผลขาดทุนรวมกันมหาศาลกว่า 8 พันล้านหยวน (ราว 1.1 พันล้านดอลลาร์) ในไตรมาสเดียว วิกฤตนี้ยังส่งแรงกระเพื่อมมาถึงสหรัฐฯ หลังบริษัท Sunnova Energy ยื่นล้มละลาย ตอกย้ำความเปราะบางของอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด
โลกคริปโตฯ: สกุลเงินดิจิทัลยังคงมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ Bitcoin ปรับตัวขึ้น 0.7% ไปอยู่ที่ 109,528.73 ดอลลาร์ ส่วน Ether พุ่งขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 7.1% แตะ 2,774.45 ดอลลาร์
ดีลใหญ่ในเอเชีย: Tencent Music ประกาศเข้าซื้อกิจการ Ximalaya สตาร์ทอัพพอดแคสต์ชื่อดังของจีน ด้วยมูลค่าสูงถึง 1.3 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดสตรีมมิ่งของจีน
สรุปและความเห็นส่วนตัว
บทสรุปการเจรจาการค้าใกล้เข้าไปทุกขณะแล้วนะคะ โดยมีโอกาสที่จะลากยาวต่อไปในวันที่ 3 เพื่อสรุปรายละเอียดให้ครบถ้วน สาเหตุที่แอดว่าเราน่าจะเห็นดีลเบื้องต้นก็เพราะว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มเห็นสัญญาณเตือนบ้างแล้ว และคะแนนนิยมของทรัมป์กำลังร่วงหนัก ประกอบกับกำลังขยับใกล้ mid term election เข้าไปเรื่อยๆ คอมโบ 3 เรื่องนี้ทำให้ทีมทรัมป์ต้องรีบสรุปการเจรจาให้ได้โดยเร็วที่สุดค่ะ
ส่วนเรื่องของประธานเฟดคนใหม่ ยังอีกไกลแหละ เพราะพาวเวลล์แกหมดวาระกลางปีหน้านู่นเลย เรายังไม่ต้องไปสนใจมากก็ได้ค่ะ ส่วนอำนาจการแต่งตั้งประธานเฟด จะเป็นของ ปธน. สหรัฐฯ ค่ะ
เรื่องที่ต้องจับตาคืนนี้คือ เงินเฟ้อ นะคะ มีผลต่อตลาดหุ้นแน่ๆ ถ้าดันออกมาสูงกว่าคาด แต่ถ้าออกมาตามคาด ตลาดคงไม่ได้ตกใจอะไรมากมายค่ะ
สรุปคือ ถ้าไม่มีข่าวร้ายมาเซอร์ไพร์ส ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะกลับไป All Time High อีกครั้งค่ะ
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก.. Beauty Investor