ถ้าถือ CBG ตั้งแต่ต้นปี ฉุดพอร์ตติดลบ 20%
โบรกฯ ชี้ราคาเต็มมูลค่าแล้วแถมยังแพงสุดในกลุ่ม
แนะนำเพียง “ถือ” หรือ “รอจังหวะย่อค่อยเก็บ”

.
หุ้นบริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG อีกหนึ่งหุ้นขวัญใจมหาชนของนักลงทุนที่ได้ให้ความสนใจและพร้อมจะเข้าไปแสวงหาโอกาสการลงทุนอยู่เสมอมา จึงไม่แปลกนักที่จะถูกพูดในวงสนทนาของนักลงทุนทั่วไป ด้วยอัตราการทำกำไรที่สูงจึงสามารถสร้างผลการดำเนินงานได้อย่างโดดเด่น
.
แต่อย่างที่นักทราบกันดีว่าภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมาและตัวเลขเงินเฟ้อที่สูง ก็เป็นปัจจัยกดดันให้กำลังซื้อโดยรวมชะลอตัวและต้องหยุดชะงักลงในบางช่วง ทำให้ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบแน่นอนว่า ธุรกิจเครื่องดื่มเองก็ได้รับผลกระทบ
.
ซึ่งนอกจากผลการดำเนินที่ได้รับผลกระทบแล้วยังได้สะท้อนมายังราคาหุ้นด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่าราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน(ณ วันที่ 30 พ.ย.65)ที่ปรับลดลงถึง 20.08% หรือลงมาอยู่ที่ 95.50 บาท แต่การปรับตัวลงในครั้งนี้จะเป็นโอกาสให้ลงทุนหรือไม่นั้น ทาง Wealthy Thai จะพาไปหาคำตอบกัน
.
โดยบล.หยวนต้า(ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ เก็งกำไร และคงราคาเป้าหมายที่ 95.50 บาท เชิงกลยุทธ์นักลงทุนอาจจะต้อง Wait and see หรือ รอจังหวะลงทุนในช่วงที่ราคาหุ้นอ่อนตัว เนื่องจากราคาหุ้นปัจจุบันเต็มมูลค่าแล้วและถูกซื้อขายที่ 30 เท่า ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มเครื่องดื่ม
.
สำหรับรายได้ในประเทศช่วงไตรมาส 4/65 คาดว่าจะยังเติบโตได้จากการรับรู้รายได้จากสินค้าใหม่ คันโซX2 ได้เต็มไตรมาสและธุรกิจรับจ้างจัดจำหน่ายที่กลับมาเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อนอีกครั้ง หลังสินค้าโซจู “แทยัง” กลับมาทำการตลาด
.
ส่วนรายได้ต่างประเทศคาดยังโดนปัจจัยกดดันจากการส่งออกไปเมียนมาที่ยังมีข้อจำกัดที่เข้มงวดและจีนที่ยังมีความผันผวนจากการ Lockdown ที่เข้มงวด ทำให้ประเมินว่าการฟื้นตัวของรายได้ต่างประเทศยังทำได้อย่างจำกัด ทำให้คาดกำไรปกติ ไตรมาส 4/65 เบื้องต้นที่ 600 - 650 ล้านบาท เติบโตไตรมาสก่อนหน้าและทรงตัวช่วงเดียวกันปีก่อนซึ่งจะทำให้ประมาณการกำไรทั้งปี 2565 ของเราอาจมีโอกาสเกิดดาวน์ไซต์ราว 5% จากที่คาดการณ์ไว้ 2,712 ล้านบาท
.
ด้านบทวิเคราะห์จากบล.พาย ปรับลดคำแนะนำจากซื้อเป็น "ถือ" และราคาเป้าหมายจาก 120 บาท เป็น 105 บาท โดยราคาเป้าหมายใหม่สะท้อนการปรับลดประมาณการกำไรปี 2566 ลง 12% เพื่อสอดคล้องไปกับตัวเลขรายได้และอัตรากำไรธุรกิจจัดจำหน่ายที่ลดลง
.
ขณะเดียวกันได้ปรับลดประมาณการกำไรปี 2565 ลง 10% ด้วยเช่นกัน เพื่อสะท้อนถึงยอดขายในจีนที่ต่ำกว่าคาดการจากล็อกดาวน์ประเทศ ,ปรับลดรายได้ธุรกิจจัดจำหน่ายปี 2565-2566 ลง 5% และปรับลดอัตรากำไรธุรกิจนี้ลงเป็น 8% จาก 11% และ SG&A ต่อยอดขายที่สูงกว่าคาด จากกิจกรรมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และการจัดโปรโมชั่น
.
อย่างไรก็ดีคาดผลประกอบการไตรมาส 4/22 ฟื้นตัว จากไตรมาสก่อนหน้าโดยได้รับแรงหนุนจากกำลังซื้อที่สูงขึ้นจากการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำรายวัน การใช้จ่ายช่วงบอลโลกที่สูงขึ้น การกลับมาของคำสั่งซื้อใน CLMV และอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นจากต้นทุนม้วนอลูมิเนียมที่ลดลง