ห้องเม่าปีกเหล็ก

BCG Matrix เครื่องมือวิเคราะห์หุ้น ที่นักลงทุนควรรู้จัก

โดย PhotoStory
เผยแพร่ :
126 views

BCG Matrix เครื่องมือวิเคราะห์หุ้น ที่นักลงทุนควรรู้จัก - BillionMoney

 

เมื่อพูดถึงการวิเคราะห์หุ้นสักตัวหนึ่ง คนส่วนใหญ่จะนึกถึง การวิเคราะห์สถานะทางการเงินของบริษัท ผ่านอัตราส่วนทางการเงินต่าง ๆ หรือการประเมินมูลค่า ว่าหุ้นตัวนี้ถูกหรือแพงเกินไป เมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่นักลงทุนต้องรู้ และสำคัญไม่แพ้สิ่งที่กล่าวไปข้างต้น ก็คือการวิเคราะห์ว่า กิจการของหุ้นที่เราลงทุนไปนั้น กำลังเป็นธุรกิจที่ไปได้สวย หรือเป็นธุรกิจที่กำลังเสื่อมความนิยมอยู่กันแน่

ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ปัจจัยดังกล่าวก็คือ “BCG Matrix”

และถ้าหากคุณสงสัยว่า BCG Matrix จะมาช่วยให้เราวิเคราะห์หุ้น ได้ดียิ่งขึ้นอย่างไร ?

ในวันนี้ BillionMoney จะย่อยให้เข้าใจ

BCG Matrix เป็นเครื่องมือที่พัฒนาขึ้น ในช่วงศตวรรษ 1970 โดยบริษัท Boston Consulting Group บริษัทผู้ให้คำปรึกษาธุรกิจระดับโลก

โดย BCG Matrix นั้น ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ของบริษัท เพื่อให้ทางบริษัทสามารถตัดสินใจได้ว่า ควรจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวไหนต่อ หรือตัวไหนที่ควรจะหยุดพัฒนา และเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นแทน

ซึ่ง BCG Matrix จะทำการแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 4 ประเภท ประกอบด้วย Stars, Question Marks, Cash Cows และ Dogs

โดยการแบ่ง จะใช้การเติบโตของตลาด ซึ่งส่วนใหญ่จะแทนด้วยการเติบโตของรายได้ และส่วนแบ่งการตลาดเมื่อเทียบกับคู่แข่งเป็นเกณฑ์ โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. Stars ผลิตภัณฑ์ที่รายได้เติบโตเร็ว และมีส่วนแบ่งการตลาดมาก ผลิตภัณฑ์แบบนี้บริษัทควรที่จะทุ่มเททรัพยากรในการพัฒนา เพื่อกอบโกยกำไรให้ได้มากที่สุด

2. Question Marks ผลิตภัณฑ์ที่รายได้เติบโตเร็ว แต่ส่วนแบ่งการตลาดยังน้อย ผลิตภัณฑ์แบบนี้บริษัทควรที่จะต้องศึกษาทิศทางในอนาคตของตลาดให้ดี เพราะในบางครั้ง ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ อาจจะกลายเป็น Stars หรือ Dogs ก็ได้

3. Cash Cows ผลิตภัณฑ์ที่รายได้เติบโตช้า แต่มีส่วนแบ่งการตลาดมาก ผลิตภัณฑ์แบบนี้ บริษัทเพียงแค่นอนรอรับกำไรก็พอ ไม่จำเป็นต้องลงทุนพัฒนาอะไรอีก เนื่องจากตัวผลิตภัณฑ์ ติดตลาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

4. Dogs ผลิตภัณฑ์ที่รายได้เติบโตช้า และมีส่วนแบ่งการตลาดน้อย ผลิตภัณฑ์แบบนี้ บริษัทควรที่จะเลิกพัฒนาต่อ และหันไปพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างอื่นแทน เนื่องจากตัวผลิตภัณฑ์ ได้เสื่อมความนิยมลงไปเรียบร้อยแล้ว

แล้วเครื่องมือนี้จะช่วยให้เราวิเคราะห์หุ้นได้อย่างไร ?

เช่นเดียวกับที่ผู้บริหาร หรือเจ้าของกิจการใช้ BCG Matrix ในการตัดสินใจว่า จะลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวไหนต่อดี นักลงทุนก็สามารถใช้ BCG Matrix ในการตัดสินใจว่า หุ้นตัวไหนที่นักลงทุนควรจะลงทุน

เพราะถ้าหากเรานำบริษัทต่าง ๆ ที่อยู่ในตลาด มาลองแยกประเภทโดยใช้ BCG Matrix นั้น ก็จะช่วยให้เราเข้าใจประเภทของธุรกิจในเบื้องต้น ได้อย่างง่ายเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น

- Stars ก็คือหุ้นของบริษัทใหญ่ ที่รายได้และกำไรยังคงเติบโตได้อย่างรวดเร็ว เช่น หุ้นของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ อย่าง Apple เป็นต้น

- Question Marks ก็คือหุ้นของบริษัทสตาร์ตอัป หรือบริษัทที่อยู่ในธุรกิจใหม่มาก ๆ ซึ่งแม้รายได้จะเติบโตเร็วก็จริง แต่ก็ยังไม่ได้กลายเป็นผู้ชนะในตลาด เนื่องจากส่วนแบ่งการตลาดยังน้อย อย่างเช่น Grab เป็นต้น

- Cash Cows ก็คือหุ้นสไตล์ที่ Warren Buffett ชอบที่จะถือ กล่าวคือหุ้นที่ไม่ได้มีรายได้เติบโตเร็ว แต่เป็นผู้นำในตลาด ซึ่งหาคู่แข่งขันได้ยาก แถมยังจ่ายปันผลสม่ำเสมอด้วย ยกตัวอย่างเช่น Coca-Cola เป็นต้น

- Dogs ก็คือหุ้นของบริษัท ที่กิจการอยู่ในช่วงขาลงแล้ว เพราะสินค้าของบริษัท เลิกเป็นที่นิยม จนแทบจะขายไม่ได้ อีกทั้งยังเสียส่วนแบ่งการตลาด ให้กับคู่แข่งไปเรื่อย ๆ เช่น BlackBerry ที่เคยเติบโตอย่างรวดเร็ว จากโทรศัพท์มือถือสุดฮิตในอดีต แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีใครสนใจแล้ว

และไม่เพียงแค่นั้น BCG Matrix ยังทำให้เราเข้าใจ การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจอีกด้วย เช่น ในกรณีของ BlackBerry ที่เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ถือว่าเป็นหุ้นดาวเด่น หรือ Stars แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นหุ้นประเภท Dogs

หรือในกรณีของ Amazon และ Meta ที่อาจจะเริ่มต้นด้วยการเป็นหุ้นประเภท Question Marks แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทั้ง 2 บริษัท ก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า พวกเขาคือ Stars ในปัจจุบัน

ซึ่งการจะเลือกหุ้นประเภทไหน และจะซื้อเข้าพอร์ตเท่าไรบ้างนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุน และความเหมาะสม ของตัวนักลงทุนเอง

เช่น นักลงทุนที่ต้องการมีเงินใช้ในยามเกษียณ อาจจะมองหาหุ้นประเภท Cash Cows มาถือ เพื่อกินปันผลไปยาว ๆ หรือนักลงทุนที่ต้องการให้พอร์ตเติบโตเร็ว ก็อาจจะเน้นการถือหุ้นประเภท Stars บวกกับหุ้นประเภท Question Marks ที่เราศึกษาแล้วคิดว่า กิจการจะไปได้ดีในอนาคต

เพราะฉะนั้นแล้ว สำหรับการเลือกหุ้นในครั้งต่อไป นอกจากจะต้องให้ความสนใจ ตัวเลขอัตราส่วนทางการเงินและมูลค่า ว่าถูกหรือแพงแล้ว

เราอาจจะลองวิเคราะห์ธุรกิจของหุ้นที่เราสนใจที่จะเข้าไปลงทุน ด้วยการใช้ BCG Matrix เพิ่มเข้าไป

เพื่อให้แน่ใจว่าหุ้นที่เรามองว่าถูกนั้น มาจากการที่ยังไม่มีใครรับรู้ มูลค่าที่แท้จริงของกิจการ

ไม่ใช่จากการที่กิจการนั้น เป็นธุรกิจที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง จนทำให้หุ้นราคาถูก เพราะไม่มีใครสนใจจะซื้อ..

 

 


PhotoStory