ห้องเม่าปีกเหล็ก

6 หุ้นโรงกลั่นกอดคอดิ่ง หลังรัฐฯ รีดกำไร จับตาผลเสียระยะยาวมากกว่าคาด

โดย DAVINCI
เผยแพร่ :
95 views
6 หุ้นโรงกลั่นกอดคอดิ่ง หลังรัฐฯ รีดกำไร จับตาผลเสียระยะยาวมากกว่าคาด
 
 
 
 
6 หุ้นโรงกลั่นกอดคอร่วงถ้วนหน้า หลังเจอพิษรัฐฯ ขอแบ่งกำไรเข้ากองทุนน้ำมัน ฟากโบรกฯ ชี้แม้ช่วยปชช.ช่วงสั้น แต่ผลเสียระยาวมากกว่า ทั้งกระทบความเชื่อมั่นต่างชาติ - บิดเบือนกลไก หวั่นทำผู้ประกอบการหนีไปรุกส่งออกกันหมด มองกระทบกำไรกลุ่มประมาณ 4 พันลบ.
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากวานนี้ (16 มิ.ย.65) การประชุมทีมเศรษฐกิจฉุกเฉินของรัฐบาล ได้มีมติ ขอความร่วมมือโรงกลั่นนำส่งกำไรส่วนต่าง 6,000-7,000 ล้านบาทต่อเดือน ในช่วง ก.ค.-ก.ย. พร้อมให้ต่อมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงาน ไปอีก 3 เดือน และขอความร่วมมือให้โรงกลั่นน้ำมันนำส่งค่าการกลั่นส่วนเกินจากอัตราปกติ เข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำมาอุดหนุนราคาน้ำมันภายในประเทศ ส่งผลให้นักวิเคราะห์ออกมาประเมินว่า ปัจจัยดังกล่าว ถือเป็นส่วนสำคัญที่กดดันต่อราคาหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นทันที
.
โดยโรงกลั่นทั้ง 6 โรง ประกอบด้วย TOP, IRPC, PTTGC, BCP, ESSO และ SPRC จะจ่ายเงินอุดหนุนน้ำมันเป็นเวลา 3 เดือน ในช่วง ก.ค.-ก.ย. ซึ่งการเก็บค่าการกลั่นเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะแบ่งออกเป็นน้ำมันดีเซล ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท/เดือน และเบนซินประมาณ 1,000 ล้านบาท/เดือน โดยเบนซินจะนำมาเป็นส่วนลดราคาให้ผู้ใช้น้ำมัน 1 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลจะเอาเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อช่วยสถานะกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งขณะนี้ติดลบอยู่ 9 หมื่นล้านบาท โดยที่ประชุมจะนำเรื่องเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในสัปดาห์หน้า
.
* 6 หุ้นโรงกลั่น กอดคอกันดิ่ง
 
สำหรับราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นเช้านี้ ส่วนใหญ่ต่างปรับลดลงถ้วนหน้า
 
- TOP ลดลง 2.50 บาท หรือ 4.69% อยู่ที่ 50.75บาท/หุ้น
- IRPC ลดลง 0.14บาท หรือ -4.24 % อยู่ที่ 3.16 บาท/หุ้น
- PTTGC ลดลง 2บาท หรือ -4.42 % อยู่ที่ 43.25 บาท/หุ้น
- BCP ลดลง 2.25 บาท หรือ -6.98% อยู่ที่ 30 บาท/หุ้น
- ESSO ลดลง 0.60 บาท หรือ -5.08% อยู่ที่ 11.20 บาท/หุ้น
- SPRC ลดลง 1.70 บาท หรือ -13.60% อยู่ที่ 10.80 บาท/หุ้น
.
* KTBST หวั่นต่างชาติกระเจิง - กระทบกำไรกลุ่มปีนี้ 4 พันลบ.
 
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) มีมุมมองเป็นลบต่อกลุ่มพลังงานต่อข่าวนี้ เรามองว่าการขอความร่วมมือในลักษณะนี้แม้จะสามารถช่วยลดผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงในระยะสั้น แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนในธุรกิจพลังงานในระยะยาว โดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติ ทั้งนี้หากตัวเลขเงินอุดหนุนเป็นไปตามในข่าว เชื่อว่ากลุ่มโรงกลั่นจะเห็นผลกระทบต่อกำไร (หลังหักภาษี) 65 ในช่วง 1.8-4.0 พันล้านบาท ขึ้นอยู่กับส่วนแบ่งการตลาดของแต่ละบริษัท
.
สำหรับหุ้นที่อยู่ในความดูแลของ KTBST จะเห็น downside ต่อประมาณการกำไร 65 ในช่วง 12%-18% โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย คือ PTTGC, SPRC, TOP (ถ้าหากตัดกำไรจากการขายหุ้น GPSC ออกไป TOP จะได้รับผลกระทบมากที่สุดถึง 20%)
.
อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่ายังต้องมีการเจรจาถึงตัวเลขเงินอุดหนุนรวมถึงรูปแบบในการช่วยเหลือ (ถ้ามี) ระหว่างโรงกลั่นต่างๆกับกระทรวงพลังงานและรัฐบาลอีก ยังคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงาน และยังคงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำที่ยังได้ประโยชน์จากราคาพลังงานที่ยืนสูง แต่มีมุมมองเป็นบวกน้อยลงต่อกลุ่มโรงกลั่นจากความเสี่ยงในการทำธุรกิจที่สูงขึ้น
.
ทั้งนี้แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มโรงกลั่นออกไปก่อนจนกว่าจะมีความแน่นอนในรูปแบบของเงินอุดหนุนที่อาจจะเกิดขึ้น และแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ คือ PTTEP (ซื้อ/เป้า 190.00 บาท) และ BANPU (ซื้อ/เป้า 16.00 บาท) ซึ่งเราเชื่อว่าจะรายงานกำไรปกติ Q2/65 ที่แข็งแกร่งจากราคาพลังงาน (น้ำมัน, ถ่านหิน, และ ก๊าซธรรมชาติ) ที่สูงจากผลกระทบจากการคว่ำบาตรรัสเซียและปริมาณสำรองทั่วโลกที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
.
* ASPS หวั่นโรงกลั่นหนีรัฐแทรกแซง หันไปรุกส่งออกแทน
 
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (ASPS) มองว่า เหตุการณ์ดังกล่าวคาดจะส่งผลกระทบต่อกำไรกลุ่มฯในปี 65 อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามยังเป็นเพียงข้อเสนอจากทางภาครัฐ เพราะจากการสอบถามไปยังกลุ่มโรงกลั่น (TOP, PTTGC, IRPC, SPRC, ESSO, BCP) และโรงแยกก๊าซฯ (PTT) พบว่ายังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนและข้อสรุปจากผู้ประกอบการ
.
จากความไม่ชัดเจนดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าในทางปฏิบัติยังมีความไม่แน่นอนสูงว่าจะปฎิบัติได้จริงหรือไม่ และผู้ประกอบการจะยอมรับข้อเสนอของภาครัฐหรือไม่ เพราะถือเป็นการแทรกแซงจากภาครัฐโดยตรง ซึ่งบิดเบือนจากในอดีตที่ธุรกิจโรงกลั่นเป็นไปตามกลไกตลาดเสรี ไม่มีการควบคุมค่าการกลั่น ซึ่งก็มีทั้งช่วงที่โรงกลั่นได้กำไร และขาดทุน
.
ทั้งนี้ในมุมมองของฝ่ายวิจัย ค่าการกลั่นที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบันมาจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ทำให้ supply โดยรวมของตลาดโลกปรับตัวลดลง ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่อยู่ในภาวะผิดปกติ และอาจจะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นหากภาครัฐเข้ามาแทรกแซงบังคับให้ปรับลดค่าการกลั่นเพื่อให้ราคาขายปลีกหน้าโรงกลั่นปรับลดลง ก็อาจทำให้ผู้ประกอบการหันไปส่งออกมากขึ้นเพราะได้ราคาสูงกว่าการขายในประเทศ รวมถึงทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงกลั่นลดลงอย่างมาก เพราะอาจจะเกิดเหตุการณ์แทรกแซงได้อยู่เสมอ ถ้ากลไกการค้าเสรีถูกบิดเบือน
.
* ชี้ที่ผ่านมา โรงกลั่นมีกำไร- ขาดทุนตามกลไกและสถานการณ์ต่างๆ
 
ฝ่ายวิจัย ASPSได้มีการประเมินเบื้องต้น หากภาครัฐจะเข้ามาแทรกแซงกลุ่มโรงกลั่น จะกระทบต่อผู้ประกอบการโดยโรงกลั่นแต่ละโรงจะผลิตผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปแต่ละชนิดในสัดส่วนที่แตกต่างกัน และในแต่ละผลิตภัณฑ์ก็จะมี spread (ราคาผลิตภันฑ์-ต้นทุนน้ำมันดิบ) ที่แตกต่างกัน
ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วงปี 55-62 spread ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปหลักๆ ได้แก่ ก๊าซออยล์, ก๊าซโซลีน และเจ็ท อยู่ที่ราว 10-15 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล หรือราว 2.1-3.2 บาทต่อลิตร ซึ่งถือเป็นกำไรขั้นต้นจากการขายผลิตภัณฑ์หลักทั้ง 3 ชนิดดังกล่าว แต่เนื่องจากโรงกลั่นยังผลิตผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปที่มีกำไรขั้นต้นติดลบ ได้แก่ น้ำมันเตา เป็นส่วนประกอบด้วย
.
ดังนั้นเมื่อมาเฉลี่ยกันแล้วค่าการกลั่นหรือกำไรขั้นต้น ก็จะไม่สูงเท่ากับ spread ของน้ำมันหลักเท่านั้น นอกจากนี้หากพิจารณาในช่วงปี 63-64 ซึ่งโลกของเราประสบกับปัญหาโควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปลดลงอย่างมีนัยฯส่งผลให้ spread ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปหลักๆ ได้แก่ ก๊าซออยล์, ก๊าซโซลีน และเจ็ท มีการปรับตัวลดลงตามเฉลี่ยเหลือราว 3-8 เหรียญฯต่อบาร์เรล หรือราว 0.6-1.7 บาทต่อลิตร รวมถึงผลิตภัณฑ์น้ำมันเตาก็ติดลบมากขึ้น ส่งผลให้โรงกลั่นหลายโรงต้องเผชิญกับผลขาดทุน
.
ดังนั้นแสดงให้เห็นว่าธุรกิจโรงกลั่นในอดีตที่ผ่านมามีทั้งกำไรและขาดทุนตามสถานการณ์ต่างๆที่เข้ามากระทบ demand และ supply น้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบ โดยต้นทุนเฉลี่ยของโรงกลั่นแต่ละโรงก็ไม่เท่ากัน เฉลี่ย Breakeven ของโรงกลั่นเมื่อรวมค่าใช้จ่ายหลักๆได้แก่ operating cost, ค่าเสื่อมราคา และดอกเบี้ยจะอยู่ราว 4.5-7.5 เหรียญฯต่อบาร์เรล หรือราว 1.0-1.6 บาทต่อลิตร
.
* เปิดผลกระทบ โรงกลั่นกำไรจะหายไปเท่าไหร่
ฝ่ายวิจัย ASPSได้ประเมินเบื้องต้นจากค่าการกลั่นในสถานการณ์ปัจจุบันโดยอิงค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ที่ราว 30-35 เหรียญฯต่อบาร์เรล (แต่ในความเป็นจริงค่าการกลั่นแต่ละโรงจะไม่เท่ากัน และไม่เท่ากับค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ เพราะประเภทผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้มีสัดส่วนไม่เท่ากัน) หักด้วย crude premium จากน้ำมันดิบที่ราว 6-8 เหรียญฯต่อบาร์เรล และ fuel loss ราว 1-3 เหรียญฯต่อบาร์เรล จะได้ ค่าการกลั่นเฉลี่ยจะเหลือราว 20-25 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งคือกำไรขั้นต้นที่ราว 4.3-5.4 บาทต่อลิตร และเมื่อหักค่าใช้จ่ายหลักๆได้แก่ operating cost, ค่าเสื่อมราคา และดอกเบี้ยที่อยู่ราว 4.5-7.5 เหรียญฯต่อบาร์เรล หรือราว 1.0-1.6 บาทต่อลิตร จะเหลือเป็นกำไรราว 3.3-3.8 บาทต่อลิตร
.
ดังนั้นหากกำหนดให้โรงกลั่นทุกๆแห่งสนับสนุนช่วยเหลือภาครัฐทุกๆ 1 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 1 เดือน จะทำให้กำไรของโรงกลั่นแต่ละแห่งหายไปเท่ากับ 1.3 พันล้านบาท, 691.6 ล้านบาท, 1.0 พันล้านบาท, 572.4 ล้านบาท, 830.0 ล้านบาท และ 8434.7 ล้านบาท
.
สำหรับโรงกลั่น TOP, PTTGC, IRPC, BCP, ESSO และ SPRC ตามลำดับ ดังสรุปในตาราง ซึ่งประเด็นดังกล่าวจะกดดันราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นทั้งกลุ่ม รวมถึงโรงแยกก๊าซฯของ PTT ที่ได้รับผลกระทบด้วย
.
หุ้น กำลังการผลิต กำไรจะลดลง คาดกำไร 65
 
บาร์เรล / วัน หากช่วย 1 บ./ลิตร (ลบ.) ลบ.
TOP 275,000 1,311.7 21,863.7
PTTGC 145,000 691.6 23,930.1
IRPC 215,000 1,025.5 4,995.4
BCP 120,000 572.4 6,704.8
ESSO 174,000 830 8,454.2
SPRC 175,000 834.7 9,310
คาดการณ์กำไรจาก Bloomberg Consensus
.
* KS ชี้ช่วยได้แค่ 1-2 เดือน แต่เสี่ยงต่ออุปทานน้ำมันในปท.
 
บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) รัฐบาลขอให้โรงกลั่นนำส่งค่าการกลั่นประมาณ 6-7 ดอลลาร์ฯ/ บาร์เรล และขอให้ PTT นำส่งกำไรส่วนเพิ่มของ GSP 50% หรือ 1.5พันลบ./เดือน ให้กองทุนน้ำมัน คาดว่าผลกระทบต่อกำไรของโรงกลั่น 19% และ PTT 9% โดยมองว่า IRPC ได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะที่ SPRC ได้รบผลกระทบน้อยที่สุดใน กลุ่มโรงกลั่นไทย 6 แห่ง
.
ทั้งนี้ KS ตั้งข้อสังเกตุว่า มาตรการดังกล่าวสามารถช่วยอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลได้แค่ 1 เดือนและ LPG ภาคครัวเรือนได้ 2 เดือน แต่สร้างความเสี่ยงต่ออุปทานสำหรับตลาดนํ้ามันในประเทศ
 
 

DAVINCI