SELL IN MAY AND GO AWAY จริงหรือ ?
KS Asset Allocation ของเราเน้นไปยัง 1) แนวโน้มศก. ปี 66 2) ปรากฎการณ์ sell in May and go away 3) SET Index ช่วงเลือกตั้งและ 4) การให้น้ำหนักสินทรัพย์
ให้น้ำหนักเป็นกลางต่อเงินสด ตราสารหนี้ หุ้นและสินทรัพย์ทางเลือก เพิ่มน้ำหนักลงทุนเล็กน้อยต่อตลาดจีน, ด้านเทคนิคซื้อหุ้นเวียดนามและ ขายทำกำไรหุ้นญี่ปุ่น
แนะนำ 1) ตราสารหนี้ (K-FIXED, TMBGINCOME) 2) ทั่วโลก (K-CHANGE) 3) จีน (K-CHINA, K-CHX) และ 4) เวียดนาม (K-VIETNAM)
กลยุทธ์การลงทุน
แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2566
การเติบโตของ GDP คาดว่าจะชะลอตัวลงในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจ G7 เช่น สหรัฐฯ (+1.1%) สหภาพยุโรป (+0.6%) สหราชอาณาจักร (-0.2%) และเยอรมนี (0%)
เศรษฐกิจจีนและไทยคาดว่าจะเติบโตเร็วกว่าปี 2565 ที่ 5.4% และ 3.7% ตามลำดับ
ปรากฎการณ์ “Sell in May and go away”
ปรากฏการณ์ “Sell in May and go away” เป็นคำพูดที่รู้จักกันดีในวงการการเงิน โดยพิจารณาจากผลประกอบการที่ตกต่ำในอดีตของหุ้นในช่วง 6 เดือนตั้งแต่เดือน พ.ค. ถึง เดือน ต.ค. เทียบกับช่วงครึ่งปีหลังตั้งแต่เดือน พ.ย. ถึง เดือน เม.ย.
ตั้งแต่ปี 2493 ดัชนี S&P500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 1.5% ต่อปี ตั้งแต่เดือน พ.ค. ถึง เดือน ต.ค. เทียบกับประมาณ 7% ในช่วงเดือน พ.ย. ถึง เดือน เม.ย.
ตั้งแต่ปี 2545 ดัชนี S&P500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 2.41% ต่อปี ตั้งแต่เดือน พ.ค. ถึง เดือน ต.ค. เทียบกับประมาณ 5.81% % ในช่วงเดือน พ.ย. ถึง เดือน เม.ย. ขณะที่ SET Index ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 3.32% ต่อ ตั้งแต่เดือน พ.ค. ถึง เดือน ต.ค. เทียบกับประมาณ 6.35% % ในช่วงเดือน พ.ย. ถึง เดือน เม.ย.
SET Index ในช่วงการเลือกตั้ง
จากสถิติการเลือกตั้งย้อนหลัง 5 ครั้ง ในช่วง 1 เดือนก่อนการเลือกตั้ง พบว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยกลับมาอยู่ที่ระดับเฉลี่ยที่ 2.4% และ 1.6% หลังการเลือกตั้ง 1 เดือน
จากสถิติการเลือกตั้งย้อนหลัง 5 ครั้ง พบว่ากลุ่มพาณิชย์ จะทำผลงานได้ดีกว่า SET Index 3 เดือนหลังวันเลือกตั้ง แต่ผลงานค่อนข้างคละกันช่วง 1 เดือนก่อนการเลือกตั้ง
ผู้ค้าปลีกไทยน่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว การเติบโตของการบริโภคภายในประเทศ การใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะเกิดขึ้น และผลตอบแทนที่เป็นบวกหลังการเลือกตั้ง
มุมมอง KS
คำแนะนำ มุมมองของเราคือ
1) ถือเงินสดโดยเฉพาะกองทุนรวมตลาดเงินที่มีอัตราตอบแทนระดับสูงท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน การขึ้นอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง และมีความเสี่ยงที่จะเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย
2) ลงทุนในตราสารหนี้จากส่วนต่างเครดิตที่แคบซึ่งฟื้นตัวขึ้นจากความกังวลต่อวิกฤติธนาคาร ขณะที่อัตราตอบแทนน่าดึงดูดใจและการเพิ่มของอัตราตอบแทนพันธบัตรที่จำกัด
3) มีมุมมองเป็นกลางต่อตลาดหุ้นจากอัตราเงินเฟ้อที่หนืด ปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่มากขึ้นและสภาพคล่องตึงตัวที่ผ่อนคลายลง เพิ่มน้ำหนักการลงทุนเล็กน้อยในจีนจากเป้า GDP ที่ 5%
4) ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกเพื่อป้องกันความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน
