ห้องเม่าปีกเหล็ก

วิเคราะห์กำไรแบงก์ ไตรมาส 1 ปี 2566

โดย ฉลุย
เผยแพร่ :
114 views

วิเคราะห์กำไรแบงก์ ไตรมาส 1 ปี 2566 เพิ่มหรือลด?

 

 

วิเคราะห์กำไรแบงก์ Q1/2566 เพิ่มหรือลด พร้อมมุมมองราคาหุ้นปีนี้  กับ “ธนเดช รังษีธนานนท์”  Director of Research บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) 

วันที่ 10 เมษายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ใกล้เข้าสู่ช่วงที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์จะประกาศผลประกอบการ ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 กันแล้ว  ซึ่ง”ประชาชาติเวลท์” พานั่งพูดคุยกับนักวิเคราะห์ถึงแนวโน้มการคาดการณ์ผลประกอบการและการเติบโตของกลุ่มนี้ รวมถึงราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในระยะถัดไปประเมินต่ออย่างไร

ประชาชาติเวลท์ EP.5 ร่วมพูดคุยกับ “ธนเดช รังษีธนานนท์”  Director of Research บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน)

Q : ต้นเดือนเม.ย.เรียกว่าใกล้ช่วงที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์จะประกาศงบประมาณผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1 ทาง บล.พาย ประเมินผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1 รวมถึงทั้งปีของกลุ่มนี้ยังไงบ้าง

ไตรมาสที่ 1 คิดว่าคงจะฟื้นตัวค่อนข้างดีเทียบไตรมาสก่อนหน้า ( QOQ) เอาเป็นว่าหลักประมาณสักบวก 30% ซึ่งก็มาจากการสำรองหนี้ของแบงก์เทียบไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) ที่คงจะลดลง พอร์ตลงทุนต่าง ๆ ไม่ได้หวือหวาคือไม่ได้ขาดทุนมากมายอะไรเหมือนไตรมาสที่ 4 และก็สินทรัพย์ในรูปแบบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (OPEX) แบงก์ก็จะกลับมาเป็นระดับปกติ ฉะนั้นจะปรับตัวค่อนข้างสูงแม้ว่าสินเชื่อจะยังไม่โตนักแต่ถ้าเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2565 อันนี้ถือว่าใกล้เคียงกัน

เหตุผลก็เพราะว่าแม้ว่าเราจะเห็นว่าสินเชื่อเติบโตข้ามปีจะค่อนข้างดี ตัวมาร์จิ้นของแบงก์ดีขึ้นเพราะว่าตลอดปีที่ผ่านมาแบงก์ก็ปรับสินเชื่อมาร์จิ้นแบงก์ก็ดี แต่ว่าตัวที่มันกดดันก็คือตัวสำรองหนี้และก็เรื่องของการที่แบงก์ยังมีประเด็นจากเรื่องของรายได้ค่าธรรมเนียม (Fee Income) จากทิศทางของตัว Capital Market และเรื่องของค่าธรรมเนียบการลงทุน (Investment Fee) ที่เกี่ยวข้องกับการออกหุ้นใหม่ก็จะสู้ปีที่แล้วไม่ได้

ฉะนั้นถ้าประเมินดูพื้นฐานปีก่อน (YOY base)  ผมคิดว่ากำไรน่าจะสูสีกันคืออาจจะ +3% -3% ประมาณนี้ ก็ประเมินคร่าว ๆ คิดว่ากำไรของแบงก์ในปี 2566 จะเติบโตสัก 11% ก็ลดลงจากปีที่ผ่านมาที่ 13%  ก็ลดลงจากปีที่ผ่านมาเล็กน้อย ปัจจัยบวกก็คือสินเชื่อก็ยังเติบโตได้ คิดว่าตัวเศรษฐกิจบ้านเราก็ยังเติบโตได้ประมาณ 3-3.5% ฉะนั้นสินเชื่อน่าจะโตได้ประมาณสัก 4.5% เพราะว่ากำลังซื้อต่าง ๆ ก็ฟื้นตัวจากการเปิดประเทศมากขึ้น แล้วก็เรื่องของการเลือกตั้งก็จะมีผลแม้ว่าส่งออกจะไม่ดี

แต่ปัจจัยเชิงลบก็จะเป็นในเรื่องของตัวค่าธรรมเนียมที่ยังปรับตัวลดลงแล้วก็เรื่องของตัวค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Povision) ที่เราคิดว่าปีนี้เองก็จะมีการปรับขึ้นเล็กน้อย เพราะว่าแบงก์เองโดยอย่างยิ่งแบงก์ใหญ่ยังอยู่ในกระบวนการที่จะต้อง Cleaning Up Balance Sheet ก็เลยทำให้สำรองหนี้จะยังสูงต่อเนื่อง

Q : เรื่องการเก็บค่าธรรมเนียมตอนนี้มีประเด็นที่ว่ามีธนาคารประกาศเก็บค่าธรรมเนียมการกดเงินสดโดยที่ไม่ใช้บัตร ซึ่งตอนนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็อาจจะพิจารณาเรื่องการเก็บค่าธรรมเนียมด้วย ตรงนี้ประเด็นนี้พี่มองอย่างไรบ้างคะว่าจะเกิดขึ้นได้จริงไหมและจะส่งผลต่อกลุ่มแบงก์ กลุ่มธนาคารอย่างไรบ้าง

ผลในเชิงรายรับรายจ่ายไม่ค่อยมีนัย เพราะว่าปัจจุบันถ้าเราดูจริง ๆ แล้วทุกคนก็ใช้แอปพลิเคชั่น แล้วก็โอนเงินจ่ายเงินก็ใช้ QR code ก็ฟรี แต่ว่าที่แบงก์อาจจะต้องมีข่าวขึ้นมาว่าอาจจะต้องมีการเก็บค่าธรรมเนียมในการเบิกถอนเงินไม่ใช้บัตร ก็เพราะว่าเราต้องเข้าใจว่าแม้ว่าปัจจุบันตัวผู้ใช้บริการของธนาคารจะหันมาใช้พวกอินเทอร์เน็ตแบงกิ้งหรือว่าดิจิทัลแบงกิ้งกันเยอะขึ้น  แต่แบงก์เองยังต้องมีบริการทำธุรกรรมที่สาขาอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ต่างจังหวัดเพราะในกลุ่มบุคคลที่อาจจะยังไม่คุ้นชินกับเทคโนโลยี

ซึ่งการที่แบงก์ยังต้องคงระบบนั้นไว้มันมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น แต่คำถามคือจะเกิดขึ้นได้หรือไหม มันก็เป็นประเด็นเชิงโซเชียลว่ามันไม่ควรเก็บหรือเปล่าในช่วงที่เศรษฐกิจบางส่วนก็ยังไม่ฟื้นตัวแล้วก็อาจจะกระทบกับผู้ที่มีรายได้น้อย ความชัดเจนอย่างไรเดี๋ยวก็คงจะต้องรอทางสมาคมแบงก์หรือแบงก์ชาติออกมา ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของช่วงเวลา (Timing) มากกว่าเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทางแบงก์เองเคยพูดมาอยู่ก่อนหน้านี้แล้วว่าการทำธุรกรรมที่ไม่ได้เป็นระบบดิจิทัลอาจจะต้องมีการเก็บเงินเพราะแบงก์เองก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษาระบบอยู่

Q : ในมุมของตัวราคาหุ้นกันบ้าง ตอนนี้ราคาหุ้นแบงก์เราจะเห็นว่ายังค่อนข้างติดลบอยู่ ในระยะถัดไปราคาหุ้นในกลุ่มนี้อย่างไรบ้าง

อย่างที่เรียนให้ทราบมันมีซักประมาณ 4 ประเด็น ที่ทำให้หุ้นแบงก์ตั้งแต่ช่วงต้นปีเรียกว่าผันผวนหรือปรับตัวลดลง ก็คือ 1 เรื่องของความกังวลต่อแบงก์ในสหรัฐหรือว่าในสวิตเซอร์แลนด์ที่ล้มลงก็เป็นประเด็นเชิงบรรยากาศ (Sentiment) ซึ่งอันนี้ไม่มีผลกระทบอะไรโดยตรงกับทางกลุ่มแบงก์ เพราะว่าแบงก์มีสัดส่วนการลงทุนในแบงก์ที่มีปัญหาในต่างประเทศค่อนข้างน้อย แต่อันที่โฟกัสมากกว่าคือเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่มันอยู่ในทิศทางที่ขาลง

แม้ว่าอาจจะยังไม่สามารถพูดได้ว่า Recession แต่ว่าภาพการส่งออกของไทยดูแย่ลงกว่าที่คิดไว้ก็จะมีผลต่อเรื่องของสินเชื่อ เรื่องของราคาน้ำมันก็ยังเป็นประเด็นที่เริ่มกลับมาเป็นประเด็นอีกแล้วเพราะว่าทางโอเปกพลัส ก็มีการลดกำลังการผลิต (Cut Productio) เพื่อทำให้ราคาน้ำมันโลกจะเด้งขึ้นแล้วก็อาจจะมีผลต่อเรื่องของตัวเงินเฟ้อ และการที่กองทุนน้ำมันฯก็ขาดทุนอยู่เยอะก็อาจจะเป็นประเด็นในแง่ของงบประมาณได้เหมือนกัน

การเลือกตั้งเองอาจจะเป็นผลเชิงบวกในแง่ของตัวการบริโภคในระยะสั้น ๆ แต่ว่าถ้ามองในเชิงระยะยาวอย่างกลุ่มแบงก์ที่มีผลเกี่ยวเนื่องต่อนโยบายของรัฐบาลใหม่  ก็อาจจะมีประเด็นที่เรียกว่าความเสี่ยงจากมุมของนักลงทุนต่างประเทศ เพราะว่า 1.นโยบายของการหาเสียงก็จะไปแตะเรื่องการชำระหนี้ การหยุดหนี้ ดอกเบี้ยต่าง ๆ ก็อาจจะประเด็น Overhang อยู่ หรือแม้แต่นโยบายเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาลอันนี้ยังตอบไม่ได้เลยว่าใครจะมาเป็น

ฉะนั้นก็เลยมองว่าเป็นบรรยากาศ (Sentiment ) ที่เป็นลบอยู่ แต่ว่าในเชิงพื้นฐานยังดีอยู่ คิดว่าในช่วงครึ่งปีหลังทุกอย่างน่าจะชัดเจนขึ้น การเลือกตั้งครึ่งปีหลังเราน่าจะเห็นหน้าตาของรัฐบาล นโยบายของรัฐบาลซึ่งก็น่าจะเป็นผลเชิงบวกต่อการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น และเชื่อว่ารัฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะต้องเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแน่นอน พอในครึ่งปีหลังสถานการณ์เศรษฐกิจโลกน่าจะเริ่มกลับมาเรียกว่าทรงตัวหรือพื้นตัวได้ในปี 2024 (2567) ตรงนั้นจะเป็น Timing ที่ดีของหุ้นแบงก์ที่เกี่ยวโยงกับเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น

ฉะนั้นถ้าถามว่าหุ้นแบงก์น่าจะกลับมารีบาวนด์และแข็งแรงได้จริง ๆ คือมองว่าสักประมาณไตรมาสที่ 3 เพราะว่ามันจะเห็นความชัดเจนเรื่องเศรษฐกิจโลก เรื่องของการเลือกตั้งในประเทศที่เกิดขึ้น และราคาหุ้นตรงนี้เองเราก็มองว่าไม่แพงนะเพราะเขาเทรดที่ประมาณสัก 0.5-0.6 เท่า Book Value การเติบโตของตัวกำไรประมาณ 11% และก็คุณภาพหนี้ต่าง ๆ แม้ว่าตัวหนี้เสีย (NPL) อาจจะปรับเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แต่คิดว่าแบงก์ก็ยังมีตัวระดับการสำรองหนี้และเงินกองทุนที่แข็งแรงก็น่าจะผ่านพ้นไปได้

เพียงแต่ว่าช่วงนี้เองก็อาจจะเป็นจังหวะในการ wait&see อีกอันหนึ่งก็อาจจะเป็นงบการเงินก็ได้ที่จะทยอยประกาศหลังสงกรานต์ แล้วก็อาจจะเป็นอีกเรื่องก็คือของปัจจัยคลุมเครือในต่างประเทศที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นช่วงนี้เองหุ้นแบงก์อาจจะอยู่ในจังหวะของไซด์เวย์และก็ไปรีบาวนด์จริง ๆ คิดว่าน่าจะเป็นช่วงหลังเมื่อเห็นความชัดเจนต่าง ๆ มากขึ้น ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและการเลือกตั้งในประเทศ

Q : อยากให้แนะนำนักลงทุนหน่อยว่าหุ้นแบงก์ที่ทาง บล.พาย เองเป็น TOPPICK  มีตัวไหนบ้าง

อยากจะให้เกณฑ์หลัก ๆ ไปว่าให้เลือกคนที่ดูแล้วน่าจะมีนโยบายหรือกลยุทธ์ที่ค่อนข้างชัดเจนมีระดับเงินกองทุนที่ดี เพราะว่าวันนี้เราก็ยังคงให้น้ำหนักกับความแข็งแกร่งมากกว่าการเติบโต เพราะฉะนั้นกลยุทธ์หลักของเราที่มองก็คือยังคง Selective buy เลือกธนาคารกรุงเทพ (BBL) เป็น TOPPICK ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่มูลค่าพื้นฐานของปี 2566 ที่ 183 บาท ถ้าเป็นตัวที่สองก็จะชอบเป็นธนาคารกรุงไทย (KTB)  เพราะว่า KTB มีลักษณะคล้ายคลึงกับ BBL เพราะเป็นแบงก์มีพอร์ตสินเชื่อที่เกี่ยวกับภาครัฐ

เพราะฉะนั้นเราค่อนข้างที่จะคล้ายกังวลไปได้เรื่องหนี้เสีย (NPL) แล้วก็การที่หลัง ๆ KTB มารุกในการทำแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง คิดว่าจะเป็นตัวเพิ่มค่าธรรมเนียมและก็มีโอกาสที่จะเพิ่มผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในการเพิ่มรายได้มากขึ้น แล้วก็เงินกองทุนหรือสำรองหนี้กรุงไทยก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง ก็เป็นอีกตัวหนึ่งในกลุ่มแบงก์ใหญ่ที่เราชอบ ซึ่งมูลค่าพื้นฐานประมาณ 20.70 บาท

อีกตัวหนึ่งซึ่งเราอาจจะไม่ได้เชียร์ซื้อเพราะราคายังไม่ลง แต่มองในมุมของDividend play สำหรับใครที่มีหุ้นตัวนี้อยู่ก็ถือได้ระยะยาว แต่ว่าที่ราคาปัจจุบันเราก็ไม่อยากที่จะแนะนำซื้อเพราะว่าตัวอัพไซด์จำกัดคือตัวธนาคารทิสโก้ (TISCO) เน้นถือระยะยาว แต่ว่าถ้าซื้อต้องรอย่อตัว เอาเป็นว่ารอซื้อหลัง XD ก็แล้วกัน มูลค่าพื้นฐานประมาณ 102 บาท และก็ตัวทุนธนชาต (TCAP) ที่ก็มีลักษณะคล้าย ๆ TISCO ราคาหุ้นก็ไม่ค่อยปรับลงแต่ว่าอัพไซด์จำกัด

ก็สองตัวระหว่าง 2 ตัวระหว่าง TISCO และ TCAP เน้นเป็นปันผล ส่วน TCAP มูลค่าค้าพื้นฐานประมาณ 46 บาทครับ อัพไซด์ค่อนข้างจำกัดแล้ว ดังนั้นถ้าเน้นซื้อก็จะเป็นเน้นซื้อตัว BBL แล้วก็ตัว KTB แต่ว่า TISCO และ TCAP ถ้าจะซื้อให้รอหลัง XD ดีกว่า

 

 

 


ฉลุย