STARK กับคำถามที่วนเวียนในหัว
ว่า “ ทำไม” ถึงสร้างเหตุการณ์เลวร้าย
ให้กับนักลงทุน โดยไม่มีใครรู้ ?

.
กรณีปัญหาที่เกิดขึ้นกับ บริษัทที่เคยติดอันดับ 1 ใน 100 ของบริษัทใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทย อย่าง บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ย่อมเรียกได้ว่าเป็นการกระทำโดยทุจริตฉ้อฉล การสมคบคิดร่วมกันทำธุรกรรมอำพราง ที่ไม่ใช่แค่เพียงสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนรายย่อยเพียงเท่านั้น แต่จะเป็นการสร้างความเสียหายด้านชื่อเสียงและความเชื่อมั่นต่อบริษัทจดทะเบียนของไทยด้วย
.
อีกทั้งยังรวมไปถึงความเชื่อมั่นต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และผู้คุมกฎเกณฑ์อย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ รวมไปถึงผู้ตรวจสอบบัญชียักษ์ใหญ่ระดับ (BIG 4) ที่เรียกได้ว่าเกิดข้อผิดพลาดในการตรวจสอบข้อมูลหรือไม่?
.
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ หลายคนคงจะมีประโยคที่จะต้องตั้งคำถาม และข้อสงสัยว่า “ทำไม” สถาบันการเงินระดับใหญ่ของประเทศถึงยอมปล่อยเงินกู้ให้กับ STARK และ “ทำไม” บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นตัวแทนนายหน้าในการเอาหุ้นกู้ของ STARK ถึงนำหุ้นกู้มาจำหน่ายให้กับประชาชน
.
อีกทั้งยังรวมไปถึงบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ กองทุนต่างชาติขนาดใหญ่ว่า “ทำไม” ถึงยอมจ่ายเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบ PP โดยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนที่จะเข้าลงทุน เช่นเดียวกับบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชียักษ์ใหญ่ระดับบิ๊กโฟร์ ทำไมถึงตรวจสอบไม่พบการกระทำผิดธุรกิจ โดยทุจริตที่เกิดขึ้นในการสร้างยอดขายปลอม
.
ตั้งคำถามที่ 1 คือ “ทำไม” 2 แบงก์ใหญ่ของไทยถึงปล่อยเงินกู้ให้กับ STARK และตั้งคำถามต่อว่า ได้ตรวจสอบข้อมูลเอกสารทางการเงิน บัญชีธุรกรรมต่างๆ การเป็นไปที่มาของรายได้ ยอดขาย และกำไร หรือไม่? เพราะมูลค่าการปล่อยกู้นั้นมีวงเงินกว่าระดับหลักพันล้านบาท
.
จากกการตรวจสอบเบื้องต้นตามที่ปรากฎในการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน และการวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ ได้ข้อมูลว่า มี 2 ธนาคารขนาดใหญ่ของไทยอย่าง ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ ที่เป็นผู้ปล่อยกู้ให้กับ STARK ซึ่งมีมูลค่ารวมกันประมาณ 8 พันล้านบาท แบ่งเป็น KBANK ประมาณ 5 พันล้านบาท และ ธนาคารไทยพาณิชย์อีกประมาณ 2-3 พันล้านบาท
.
ทั้งนี้ จากคำอธิบายงบการเงินของทั้งสองธนาคารดังกล่าวที่ได้มีการเผยแพร่ พบว่า ได้มีการตั้งสำรองกับลูกหนี้รายใหญ่ ซึ่งธนาคารกสิกรไทย ระบุว่า ในไตรมาสที่ 1/66 ธนาคารพบว่า มีลูกค้า รายใหญ่รายหนึ่งที่คุณภาพหนี้มีสัญญาณความเสื่อมถอย โดยธนาคารได้มีสำรองสำหรับหนี้ส่วนนี้ไว้แล้ว และอาจพิจารณาความเหมาะสมในการกันสำรองเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด
.
ขณะที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ รายงานข้อมูลว่า ภาพรวมของผลประกอบการไตรมาส 1/66 บริษัทได้ตั้งเงินสำรองจำนวน 9,927 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.5% เพื่อเป็นการตั้งสำรองส่วนเพิ่มสำหรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นของลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่รายหนึ่งของธนาคาร
.
ตั้งคำถามที่ 2 คือ “เหล่าตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้” ทำไมถึงกล้านำหุ้นกู้ของ STARK ออกมาจำหน่ายให้กับนักลงทุน ซึ่งได้มีการตรวจสอบข้อมูล และความน่าเชื่อถือมากน้อยขนาดไหน โดยเป็นที่มา ที่ส่งผลให้นักลงทุนเข้าใจผิด และตัดสินใจที่เข้าไปลงทุน ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ที่เป็นกลุ่มคนวัยเกษียณใช้เงินก้อนที่เก็บสะสมมาใช้ลงทุน เพื่อหวังเม็ดเงินลงทุนที่จะงอกเงย แต่กลับถูกทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจจากเหล่าบริษัทที่คิดว่าจะมีมาตรฐาน
.
ตั้งคำถามที่ 3 คือ “ทำไม” บริษัทตรวจสอบบัญชียักษ์ใหญ่ระดับบิ๊กโฟร์ อย่าง บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ สอบบัญชี จำกัด ถูกต้องมนต์สะกด หรืออะไรบังตา ถึงทำให้มองไม่เห็นว่า STARK มีการกระทำทุจริต สร้างยอดขายอำพราง มูลค่าหลายพันล้านบาท รวมถึงตกแต่งงบบัญชีผลประกอบการให้ออกมาสวยหรู ก่อนที่จะเปิดเผยความจริงข้างในว่าเน่าเฟะ ซึ่งก็สายไปเสียแล้ว
.
ตั้งคำถามที่ 4 คือ “ทำไม” บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนระดับชั้นนำ แนวหน้าของไทย และยังรวมไปถึงเหล่าบริษัทชั้นนำของตลาดหุ้นไทย ยังถูก STARK ล่อลวงเข้าไปถวายเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบ PP ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องมีการสอบทานความถูกต้องให้แน่ชัดก่อนที่จะใส่เงินเข้าลงทุน แต่การตรวจสอบนั้นมีมากน้อยขนาดไหน ทำไมถึงไว้เนื้อเชื่อใจในแผนการของ STARK ได้ขนาดถึงขั้นที่ว่ายินดีพร้อมที่จะมอบเงินให้กับ STARK ไปกว่า 2 หมื่นล้านบาท
.
ตั้งคำถามที่ 5 คือ “ทำไม” ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในฐานะที่เป็นผู้ควบคุมกฎเกณฑ์และเป็นผู้ดูแลบริษัทจดทะเบียน ถึงได้ปล่อยให้ STARK กระทำการทุจริตเช่นนี้จนเป็นเวลาที่ล่วงเลยจนเกินจะเยียวยาแล้วหรือไม่?
.
[ขาดความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย]
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ก่อนหน้านี้ตลาดหลักทรัพย์ได้ติดเครื่องหมาย SP (ห้ามซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนเป็นการชั่วคราว) แก่ STARK และได้นำออกจากการคำนวณดัชนี SET100 (มีผลตั้งแต่ 7 เม.ย.66) หลัง STARK ไม่ส่งงบการเงินประจำปี 2565
.
โดยล่าสุด STARK มีส่งงบการเงินปี 2565 ที่แท้จริง พบผลการดำเนินงานพลิกจากกำไรเป็นขาดทุน ประเด็นดังกล่าว อาจทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทยได้ เฉกเช่นใน อดีตช่วงปลายปีที่แล้ว หรือ พ.ย.65 ที่มีประเด็นหุ้น MORE สังเกตได้จาก ในก่อนหน้ามูลค่าซื้อขายผ่านบัญชี Margin เคยอยู่สูงระดับ 2 แสนกว่าล้านบาท/เดือน (ในช่วง ต้น-กลางปี 2565)
.
ขณะที่ปัจจุบันผ่านเหตการณ์หุ้น MORE และ STARK มามูลค่าซื้อ ขายผ่านบัญชี Margin เดือน เม.ย. 66 ลดลงอยู่ระดับ 7.6 หมื่นล้านบาท/เดือน เท่านั้น เป็นอีกมุมที่กดดัน Turnover ของ SET ให้ปรับตัวลดลงอีก ซึ่งล่าสุดอยู่ที่ ระดับ 66.0%(ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน) ขณะที่ปี 2564-2565 Turnover SET อยู่ระดับ 80%-110%
.
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการตั้งคำถาม และข้อสังเกตว่า “ทำไม” STRAK ถึงสามารถสร้างภาพมายา หลอกลวงเหล่านักลงทุนรายเล็กรายใหญ่ หลอกลวงผู้คุมกฎเกณฑ์ได้ถึงขั้นนี้ และอาจจะเป็นการตั้งคำถามครั้งสุดท้ายว่า “ทำไม” STARK ถึงสร้างเหตุการณ์ที่เลวร้ายให้กับนักลงทุนได้ถึงขนาดนี้