ค่า β สามารถนำไปใช้ในการคัดเลือกหุ้น ได้อย่างไร
ในบทความก่อนหน้านี้ เราเคยคุยกันไว้ เรื่อง β คือ อะไร ใช้ประโยชน์ยังไงได้บ้าง และข้อสังกตุที่สำคัญเกี่ยวกับค่า β บทความนี้เราจะมาคุยกันต่อ เรื่อง การนำ β ไปประยุกต์ใช้ในการลงทุนของนักลงทุนกัน
ค่า β ในความเป็นจริงได้ถูกนำเข้าไปใช้ในโมเดลทางการเงินมากมาย หรือบางโมเดลไม่ได้มีการใช้ค่า β โดยตรง แต่ก็นำ β ไปเป็นพื้นฐานในการพัฒนาโมเดล วันนี้เราจะคุยกันถึง การใช้ค่า β มาวัดความเสี่ยงที่เป็นระบบ (systematic risk) ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่นักลงทุนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
Model 1 : Characteristic Line (CL)
คือเส้นแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์ และอัตราผลตอบแทนของตลาด CL มีการคำนวณมาจาก การนำสมการถดถอยซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์และอัตราผลตอบแทนของตลาดมาเขียนในรูปกราฟเส้นตรง
โดย ค่าเบต้า β ก็คือความชันของเส้น CL นั่นเอง ค่านี้แสดงอัตราการเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนของหุ้น เมื่ออัตราผลตอบแทนของตลาดเปลี่ยนแปลงไปจึงเป็นการวัดความเสี่ยงโดยเปรียบเทียบกับความเสี่ยงของตลาดนั่นเอง
Model 2 : Capital Asset Pricing Model ; CAPM
CAPM คือ แบบจำลองที่ใช้ในการคำนวณหาผลตอบแทนที่ต้องการ ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ต้องรับ
แบบจำลอง CAPM
ตัวอย่างเช่น นักลงทุนท่านหนึ่งต้องการลงทุนในหุ้นสามัญ A ซึ่งมี β เท่ากับ 1.2 ขณะเดียวกันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอยู่ที่ 7% อัตราผลตอบแทนลงทุนเฉลี่ยที่ตลาดหลักทรัพย์ เท่ากับ 15% อัตราผลตอบแทนของนักลงทุนท่านนี้จะมีค่าเท่ากับ 7+(15-7)1.2 = 16.6%
อัตราผลตอบแทนที่ต้องการจากการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ได้จากแบบจำลอง CAPM สามารถใช้เป็น Discount rate เพื่อหาผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกรณีซื้อหุ้นนั้น และยังสามารถใช้หา Fair Value แล้วนำไปเทียบกับราคาตลาดใช้ในการตัดสินใจลงทุน โดยถ้า
ราคา น้อยกว่า ผลตอบแทนที่คาดหวัง ให้ซื้อ
ราคา มากกว่า ผลตอบแทนที่คาดหวัง ไม่ซื้อ หรือ พิจารณาขาย
เป็นยังไงกันบ้าง หวังว่าบทความนี้คงเป็นประโยชน์กับนักลงทุนทุกท่าน คราวต่อไป เราจะมาคุยกันถึงค่าทางการเงินตัวไหน อย่าลืมติดตามกัน...
- Yoo -