“Stay Invested” เพราะโอกาสการลงทุนมีอยู่เสมอ...ไม่ว่า “ตปท.” หรือ “ในปท.” !!!
การกลับมาของ COVID-19 “ระลอก4” จนทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการคุมเข้มรอบใหม่อีกครั้ง หลายสำนักทยอยออกมาหั่นการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงต่อเนื่องเหลือ 0 – 1.2%
บางค่ายมอง “กรณีเลวร้าย” อาจทำ GDP ไทยติดลบเป็นปีที่2 ติดต่อกันได้เลยทีเดียว!!!
นั่นคือภาพของเศรษฐกิจ ที่ยังมีความหวังว่าความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนอาจจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้นได้ทันในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี21 นี้
การลงทุนใน “หุ้นไทย” เอง ตัวเลขกลมๆ ของหลายสำนักก็ยังให้กันแตะระดับ 1,600 จุด บวกลบ กันอยู่ ในขณะที่ใน “ต่างประเทศ” เองก็มีโอกาสการลงทุนที่เปิดกว้างและน่าสนใจรออยู่เช่นกัน
วันนี้ ทีมงาน ‘โต๊ะกองทุน Wealthythai’ มีมุมมองการลงทุนที่น่าสนใจจากคนในแวดวงบลจ.มาฝากกัน
“บลจ.บัวหลวง” เปิด 4 ธีมหุ้นน่าลงทุนเสริมพอร์ต...นำโดย “หุ้นเทคฯ” ที่ยังจะดตต่อเนื่องท่ามกลาง COVID-19
โดย “สันติ ธนะนิรันดร์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.บัวหลวง จำกัด (กองทุนบัวหลวง) มองว่า ธีมการลงทุนสำหรับเสริมพอร์ตที่น่าสนใจในต่างประเทศมี 4 ธีม ได้แก่ “ธีมเทคโนโลยี” การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้คนทั่วโลกหันมาใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐและจีน ต่างมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีชัดเจน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนหุ้นเทคโนโลยีเติบโตต่อได้ และด้วยภาวะตลาดที่ยังคงมีเรื่องของความไม่แน่นอนรวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่อาจปรับตัวขึ้นมาได้ทำให้หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพดีมีผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่องมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดี
“ขณะที่ประเด็นการเก็บภาษีบริษัทเทคโนโลยีไม่ได้มีผลกระทบมากนักต่อหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เพราะบริษัทเหล่านี้สามารถปรับตัวได้ดี ทั้งยังมีความต้องการใช้งานสูงจากผู้บริโภคด้วย”
“หุ้น ESG” เป็นแนวโน้มหลักของโลก...ส่วน “หุ้นเอเชีย” ราคายังถูก-ในขณะที่กำไรจะกลับมาเติบโตครึ่งปีหลัง
“ธีม ESG” เป็นอีกหนึ่งธีมที่น่าสนใจเนื่องจากมีนโยบายการลงทุนเพื่อสร้างผลบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการ Theme การลงทุนที่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดีและสร้างประโยชน์ทั้งต่อโลกและนักลงทุนได้ในระยะยาว เพราะได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายรัฐบาลทั่วโลกที่มุ่งมั่นจัดการกับสภาพแวดล้อมอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพลังงาน ลดการพึ่งพิงพลังงานดั้งเดิม รวมถึงตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้ธุรกิจมีการวิจัยและลงทุนในกลุ่มพลังงานสะอาด เทคโนโลยีที่เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการจัดการของเสียมากขึ้น
“ตลาดเอเชีย” โดยเฉพาะเอเชียเหนือก็มีความน่าสนใจ เพราะเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ได้รับผลดีจากความต้องการชิปทั่วโลก และในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว รวมถึงการที่ค่าเงินอ่อนค่า เอเชียซึ่งเป็นประเทศส่งออกไปก็จะได้อานิสงส์ในด้านนี้ด้วย ขณะที่อัตราราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ของ “ตลาดหุ้นเอเชียไม่นับรวมญี่ปุ่น” ซึ่งพิจารณาจากดัชนี MSCI All Country Asia Ex Japan ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าภูมิภาคอื่น อีกทั้ง นักวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการกำไรของบริษัทเอเชียเพิ่มขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง
“และในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว รวมถึงการที่ค่าเงินอ่อนค่า เอเชียซึ่งเป็นประเทศส่งออกไปก็จะได้อานิสงส์ในด้านนี้ด้วย ขณะที่อัตราราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ของตลาดหุ้นเอเชียไม่นับรวมญี่ปุ่น ซึ่งพิจารณาจากดัชนี MSCI All Country Asia Ex Japan ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าภูมิภาคอื่น อีกทั้ง นักวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการกำไรของบริษัทเอเชียเพิ่มขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้น การลงทุนในเอเชียจึงมีความน่าสนใจ”
มั่นใจ “หุ้นจีน” ในระยะยาว…เศรษฐกิจจะโตแซงหน้าสหรัฐในอนาคต
“จีน” อีกหนึ่งภูมิภาคที่น่าสนใจ มีการดำเนินนโยบายที่ชัดเจน โดยกำหนดนโยบาย Dual Circulation คือ เน้นการบริโภคในประเทศควบคู่ไปกับการผลักดันการส่งออก ส่วนความเสี่ยงในเชิงนโยบายจากกรณีที่มีการออกมาตรการในการจัดการกับบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ของจีนหลายแห่งนั้นมองว่า ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจนัก เพราะจีนดำเนินการควบคุมลักษณะนี้มากับหลายธุรกิจอยู่แล้ว เพื่อผลประโยชน์คนในประเทศและสร้างเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
“หากเชื่อมั่นศักยภาพของจีนที่จะมีขนาดเศรษฐกิจแซงสหรัฐได้ในอีกไม่นาน และมองเห็นโอกาสในช่วงนี้ที่มูลค่า ‘หุ้นจีน’ ปรับลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ก็สามารถลงทุนได้กับกองทุนนี้ ซึ่งการลงทุนในจีนก็เป็นการบริหารความเสี่ยงให้พอร์ตโดยรวมได้ เพราะการเคลื่อนไหวของหุ้นจีนมีความเฉพาะตัว ไม่ได้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ มากนัก”
“บลจ.ไทยพาณิชย์” ชู “หุ้นไทย” ยังน่าสนใจ...แนะตลาดย่อไตรมาส3 เป็น ‘จังหวะลงทุน’ บริเวณกรอบแนวรับ 1,500-1,550 จุด
ในขณะที่ “ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBAM) มองว่า “หุ้นไทย” ก็ยังน่าสนใจลงทุน ปัจจุบัน (ณ วันที่ 16 ก.ค. 21) ตลาดมีการปรับตัวขึ้นจากสิ้นปี20 อยู่ที่ 8.63% โดยปัจจัยหลักเกิดจากความคาดหวังเศรษฐกิจภายในประเทศที่จะฟื้นตัวขึ้นภายหลังที่ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในระลอก 2 ที่เริ่มควบคุมได้ ทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเปิดประเทศปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสภาพคล่องในระบบยังมีอยู่สูงมาก จากเงินเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารกลางทั่วโลกที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ถึงแม้ว่าตั้งแต่เดือนเม.ย.เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เผชิญกับการระบาดของโรค COVID-19 อีกครั้งจากสายพันธุ์เดลต้าทำให้ผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงโดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเปิดประเทศ
“บริษัทยังคงมองว่าเป็นโอกาสที่ควรทยอยลงทุนใน ‘หุ้นไทย’ ในช่วงที่ปรับตัวลดลงในกรอบ 1,500-1,550 จุด โดยเฉพาะช่วงที่เกิดความกังวลจากการ Lockdown ประเทศ โดยคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะออกแนวข้าง (Sideway) ในไตรมาส 3 จนกว่าผู้ติดเชื้อ COVID-19 จะเริ่มควบคุมได้ และมีแนวโน้มที่ลดลงอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่องหลังจากที่ประเทศไทยได้รับการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง ซึ่งคาดว่าจะเกิดในไตรมาส 4 ที่จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ”
ท้ายที่สุดไม่ว่าสถานการณ์แวดล้อมจะเป็นเช่นไร นักลงทุนก็ควร “Stay Invested” คือลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะ ‘การจับจังหวะ’ ในตลาดเป็นเรื่องยาก หากพลาดการลงทุนในบางช่วงเวลาก็อาจเสียโอกาสไปได้ เพียงแต่ต้องรู้จักสร้างสมดุลให้พอร์ต มีทั้งการลงทุนในหุ้นที่เติบโตดี ลงทุนในตราสารหนี้เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวมด้วยเช่นกัน หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะมีประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก