กูรูชี้กลุ่มแบงก์กำไรรวมปี 65 ทะลุ 2 แสนล้านบาท
แม้ไตรมาส 4/65 ผลงานย่อตัว เหตุค่าใช้จ่ายพุ่ง

.
แม้แนวโน้มกำไรของหุ้นกลุ่มธนาคารในไตรมาส 4/65 จะมีปัจจัยบวกจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ (NII) และค่าธรรมเนียมที่เร่งตัวขึ้นตามฤดูกาล รวมถึงสถานการณ์การตั้งสำรองที่ลดความตึงเครียด แต่ช่วงเวลาดังกล่าวมักเป็นช่วงที่ค่าใช้จ่ายของธนาคารขนาดใหญ่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งค่าใช้จ่ายภาษีในการปรับโครงสร้าง องค์กรของ SCB ที่เหลืออยู่อาจเป็นเหตุให้กำไรของกลุ่มธนาคารในไตรมาส 4/65 อ่อนตัวจากไตรมาส 3/65 แต่นักวิเคราะห์ประเมินว่าภาพรวมกำไรทั้งปี 2565 ของหุ้นกลุ่มธนาคารจะยังคงเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อนอยู่
.
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า แนวโน้มกำไรสุทธิกลุ่มธนาครในไตรมาส 4/65 แม้ NIM มีแรงหนุนจากการเบิกใช้สินเชื่อตาม ฤดูกาลและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกลุ่ม M-Rate อีกทั้งรายได้ค่าธรรมเนียมฯ มีทิศทาง เร่งตัวจากตรมาส 3/65 ตามปัจจัยฤดูกาลเช่นกัน แต่โดยปกติแล้วไตรมาส 4/65 เป็นช่วงที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน (OPEX) ของธนาคารใหญ่สูงขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายภาษีในการปรับโครงสร้างองค์กรของ SCB ที่เหลืออยู่อาจเป็นเหตุให้กำไรกลุ่มธนาคารอ่อนตัวจากไตรมาส 3/65 แต่ยังเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/64
โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าหุ้นธนาคาร 8 แห่ง ได้แก่ BAY, BBL, KBANK, KTB, SCB, TTB, KKP และ TISCO จะมีกำไรสุทธิรวมปี 2565 อยู่ที่ 201,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.59% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 179,116 ล้านบาท
.
ทั้งนี้ ให้น้ำหนักกับคุณภาพสินทรัพย์ โดยเลือกธนาคารขนาดใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น คือ BBL ราคาเป้าหมาย 159 บาท และ KTB ราคาเป้าหมาย 20.30 บาท เนื่องจากการตั้งสำรองสูงและคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ดี ส่วน TISCO ให้ราคาเป้าหมาย 105 บาท ฝ่ายวิจัยชอบเพราะงบดุลแกร่งและแนวโน้ม ROE สูงสุดในกลุ่มธนาคาร และคาดว่า Div Yield จะมากสุดในกลุ่มธนาคารที่ประมาณ 8% ต่อปีอีกด้วย
.
บล.ไทยพาณิชย์ ระบุว่า คาดกำไรของแต่ละธนาคารในไตรมาส 4/65 จะมีทิศทางที่แตกต่างกัน โดยคาดว่า BBL จะเป็นธนาคารที่มีกำไรไตรมาส 4/65 เติบโตแข็งแกร่งที่สุดทั้งจากไตรมาส 4/64 และไตรมาส 3/65 เพราะคาดการณ์ว่าการตั้งสำรองจะลดลง ส่วนการเติบโตของสินเชื่อเร่งจะตัวขึ้น และ NIM ที่กว้างขึ้น ขณะเดียวกันคาดว่า KBANK และ KKP จะรายงานกำไรไตรมาส 4/65 ลดลงทั้งจากไตรมาส 4/64 และไตรมาส 3/65 หลักๆ เกิดจากการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น
.
สำหรับปี 2565 ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการการเติบโตของกำไรกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 3% สู่ 16% ปัจจัยหลักเกิดขึ้นจาก KTB และ TTB โดยส่วนใหญ่เกิดจากการปรับประมาณการรายการตั้งสำรอง ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรของ KBANK ลดลง โดยมีสาเหตุมาจากการปรับเป้า credit cost เพิ่มขึ้น พร้อมกับ NPL ที่ใหลเข้าเพิ่มขึ้น ส่วนปี 2566 คาดว่ากำไรของกลุ่มธนาคารจะเติบโต 13% โดยเกิดจากNIM ที่ขยายตัวเล็กน้อย และ credit cost ที่ลดลง
.
ด้านบล.พาย ระบุว่า ปัจจัยพื้นฐานของกลุ่มธนาคารยังยืดหยุ่นดี ด้วยสำรองหนี้ฯ ที่เพียงพอและอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ที่แข็งแกร่ง แม้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยภายนอก โดยคาดกำไรสุทธิรวมในไตรมาส 4/65 จะโตขึ้นราว 10%-15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่สูงขึ้นและการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่ลดลง แต่กลุ่มธนาคารมีแนวโน้มใช้จ่ายด้านการดำเนินงานมากขึ้นในไตรมาส 4/65 (การตลาดและค่าใช้จ่ายพนักงาน) จึงคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาสนี้จะต่ำสุดในรอบปี 2565 อย่างไรก็ตาม คาดกำไรสุทธิปี 2565 จะเติบโต 19% จากปีก่อน ส่วนในปี 2566-2567 แม้คาดถึงปัจจัยไม่แน่นอนภายนอกอยู่บ้าง แต่ก็คาดว่ากำไรสุทธิจะโต 13% หนุนจากสินเชื่อและ NIM โตขึ้น และค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญที่ลดลง