ซีพีกับความร่วมมือในประเทศญี่ปุ่น
สำนักข่าวนิกเคอิได้กล่าวว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ถือเป็นบริษัทที่เข้าไปปฏิวัติโต๊ะอาหารของญี่ปุ่นโดยได้ส่งออกไก่สดแช่แข็งไปยังประเทศญี่ปุ่นเป็นรายแรกตั้งแต่พ.ศ.2516 ทำให้คนญี่ปุ่นได้บริโภคไก่ซึ่งเป็นอาหารโปรตีนได้ในราคาถูก นอกจากนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นในประเทศไทย และยังเป็นบริษัทที่ลงทุนในอิโตชูโดยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของอิโตชูซึ่งเป็นบริษัทการค้าชั้นนำมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น
ซีพีได้ผนึกกำลัง อิโตชู ซึ่งเป็นบริษัทการค้าใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น มียอดขายเมื่อสิ้นงวดบัญชีมีนาคม 2557 ประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนยอดขายของธุรกิจอาหารในสัดส่วน 26% หรือคิดเป็นจำนวนประมาณ 400,000 ล้านบาท โดยมีการทำธุรกิจหลากหลายในประเทศญี่ปุ่นและมีการลงทุนในต่างประเทศหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ธุรกิจของอิโตชูมีทั้งการค้าภายในประเทศและต่างประเทศ อาทิ ธุรกิจค้าปลีกภายใต้ชื่อ แฟมิลี่มาร์ท ที่มีสาขามากกว่า 10,000 สาขา ธุรกิจค้าส่งและศูนย์กระจายสินค้า การให้บริการด้านระบบขนส่งสินค้า(โลจิสติกส์) การทำธุรกิจผลไม้กระป๋องภายใต้ตราสินค้า Dole ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจ Textile เป็นต้น ทั้งยังเป็นบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ 1 ใน 5 ในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น นอกจากนั้นอิโตชูยังเป็นผู้นำเข้าสินค้าอาหารระดับต้น ๆ ของประเทศญี่ปุ่นด้วย
อิโตชูเป็นหนึ่งในบริษัทการค้าชั้นนำระดับโลก จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (http://www.itochu.co.jp/) ดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2401 โดยนาย Chubei Itoh ซึ่งเริ่มต้นจากการค้าขายผ้าลินิน จนถึงปัจจุบันอิโตชูได้พัฒนาและเติบโตขึ้นมา เป็นเวลากว่า 150 ปี มีบริษัทกว่า 130 แห่งใน 65 ประเทศทั่วโลก อิโตชู เป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่ ระดับโลกและทำธุรกิจแบบครบวงจร ซึ่งในญี่ปุ่น เรียกขานกันในชื่อว่า “Sogo Shosha” โดยดำเนินธุรกิจในประเทศและการค้าระหว่างประเทศในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้แก่ สิ่งทอ เครื่องจักร โลหะเกลือแร่ พลังงาน เคมีภัณฑ์ อาหาร เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ ประกันภัย บริการโลจิสติกส์ การก่อสร้างและการเงิน ตลอดจนการลงทุน ในธุรกิจต่าง ๆ ทั่วโลก
นอกจากนี้ยังมีโปรแกรม Open Innovation Columbus(OIC) ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นและไทย เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้สตาร์ทอัพของญี่ปุ่น-ไทยเกิดการแลกเปลี่ยนนวัตกรรมรองรับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC โดยมีเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งใหม่ (New Innovation Hub)ของภูมิภาคอาเซียนสอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 ซึ่งได้นำสุดยอดสตาร์ทอัพแถวหน้าด้านเทคโนโลยีของญี่ปุ่น 10 บริษัท มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับบริษัทชั้นนำของไทยกว่า 20 บริษัท
เครือซีพีให้ความสำคัญกับการปรับตัวสู่โลกดิจิทัล ซึ่งการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของเครือซีพีไม่ใช่เพื่อองค์กรหรือบริษัทในเครือเท่านั้น แต่ต้องสร้างและพัฒนาด้านนวัตกรรมสำหรับประเทศไทยโดยรวม โดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนา การลงทุนในสตาร์ทอัพและการสร้างอีโคซิสเต็มแพลตฟอร์มเพื่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งกุญแจสำคัญที่จะก้าวสู่ความสำเร็จคือ ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเครือซีพีในฐานะภาคเอกชนไทย พร้อมสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทยให้มีอนาคตก้าวหน้า สามารถแข่งขันบนเวทีโลกได้ โดยเฉพาะการก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ที่นวัตกรรมดิจิทัลจะมีบทบาทมากขึ้นในอนาคต
สำหรับความร่วมมือกับสถานทูตฯญี่ปุ่นในครั้งนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับตัวแทนสตาร์ทอัพที่ประสบวามสำเร็จระดับแถวหน้าของญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อมั่นว่า พลังของสตาร์ทอัพญี่ปุ่น ที่ถือเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอันดับ 1 ของโลก จะช่วยยกระดับการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงให้ไทยก้าวสู่ประเทศไทย4.0 และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเกิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถ่ายทอดนวัตกรรมและเป็นประโยชน์กับสตาร์ทอัพของไทยต่อไป
Apply academic theory match with CP Group case study
- การเปิดการค้าเสรีและการรวมกลุ่มกันทางเศรษฐกิจ
- การแสวงหาตลาดใหม่ๆของบริษัทข้ามชาติ
- Product life cycle model
- Diamond Model
- การ Joint Venture ใช้ผู้นำทางธุรกิจของประเทศนั้นๆ เป็นตัวขยายศักยภาพ
- ทฤษฎีปลาเร็ว กินปลาช้า ขยายโอกาสการลงทุนและเชื่อมโยง Global Tech Startup
Questions for future research
- มีกลุ่มธุรกิจใดที่น่าสนใจลงทุนในประเทศญี่ปุ่นแต่ยังไม่ได้ลงทุน
- การที่ CP เข้าไปลงทุนในประเทศญี่ปุ่น ก่อให้เกิดผลดีต่อประเทศไทยอย่างไรบ้าง
- การนำโอกาสและต่อยอดกับธุรกิจอื่นๆ ภายในเครือ เป็นอย่างไร