ปรากฏการณ์ "เบี้ยวหนี้" ตั๋วบี/อี ลามกระทบ "หุ้นกู้" เขย่าขวัญนักลงทุนป่วนความเชื่อมั่น วงในหวั่นพ่นพิษ "ตลาดทุน" วงกว้าง ลุ้นระทึกเดือน ก.พ.มีตราสารหนี้ครบกำหนดชำระอีกกว่า 1 แสนล้านบาท จับตากระแสผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องช่วง 1-2 ปี กดดัน บลจ.ต้องหาสภาพคล่องรับมือ ด้านแบงก์พาณิชย์ผวา สกรีนเข้มลูกค้าออกหุ้นกู้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันสถานการณ์การผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) เริ่มปะทุ หลังในช่วงที่ผ่านมามี บจ.อย่างน้อย 4 แห่งมีการทยอยผิดนัดชำระหนี้ในตั๋วแลกเงินระยะสั้น (บี/อี) และหุ้นกู้เกิดขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่กรณี บมจ. เคซี พร็อพเพอร์ตี้ (KC), บมจ.อินเตอร์ฟาร์อีสต์ วิศวการ (IFEC), บมจ.อีฟอร์แอลเอม (EFORL) โดยกรณีล่าสุดเป็นของ บมจ.ริช เอเซียคอร์ปอเรชั่น (RICH) มีการผิดนัดชำระหนี้เงินกู้ธนาคาร, ตั๋วบี/อี และหุ้นกู้ รวม 5 รายการ ซึ่งคิดเป็นมูลหนี้รวมกว่า 2,055.86 ล้านบาท
ดบ.ต่ำผลักนักลงทุนหายีลด์สูง ๆ
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาการขยายตัวของผู้ลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยุคดอกเบี้ยต่ำทำให้นักลงทุนพยายามแสวงหาตราสารที่ให้ผลตอบแทน (ยีลด์) สูงขึ้น โดยมีความนิยมเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ที่ไม่มีการจัดอันดับเครดิตเรตติ้งหรือ "น็อนเรต" และตั๋วบี/อีอย่างแพร่หลาย เรียกว่าที่ผ่านมามีเท่าไหร่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ก็รับซื้อหมด
ขณะที่ฝั่งผู้ออกก็มีเทรนด์การออกหุ้นกู้มาตลอดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยปี 2558 มีการออกหุ้นกู้มูลค่าราว 5.78 แสนล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นตั๋วบี/อีประมาณ 2.79 หมื่นล้านบาท และปี 2559 มีการออกหุ้นกู้ราว 7.86 แสนล้านบาท แบ่งเป็นตั๋วบี/อี กว่า 6 หมื่นล้านบาท ยอดตราสารหนี้คงค้าง ณ สิ้นปี 2559 ราว 2.6 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นแบบน็อนเรตประมาณ 6.9 หมื่นล้านบาท
กุมภาฯบี/อีครบกำหนด 1 แสน ล.
นายประกิตกล่าวว่า ความเสี่ยงของการผิดนัดชำระหนี้หลังจากนี้จะปรับตัวเพิ่มมากขึ้น เพราะจะมีตั๋วบี/อีอีกกว่า 1 แสนล้านบาทที่จะทยอยครบกำหนดไถ่ถอนในเดือน ก.พ.นี้ ซึ่งอาจเกิดปัญหาการผิดนัดชำระหนี้อีกได้ เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในระบบเริ่มหายไป ทำให้โอกาสการขายใหม่เพื่อต่ออายุ (Roll over) อาจลดน้อยลง ซึ่งกดดันให้บริษัทอาจต้องเตรียมเงินสดสำหรับรองรับการไถ่ถอน ซึ่งอาจสวนทางกับสภาพคล่องของบริษัทที่อาจไม่มีรองรับ
นอกจากนี้ประเมินว่าหากเกิดการผิดนัดชำระหนี้ถี่มากขึ้นกังวลว่าอาจลุกลามไปยังตราสารหนี้อื่น ๆ ทั้งที่มีเรตติ้งและไม่มีเรตติ้งในระบบทั้งหมด เพราะความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่หายไป แม้จะออกตราสารหนี้ที่มีเรตติ้งแต่ก็อาจไม่มีผู้ซื้อ และจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในอนาคต
"ความเสี่ยงของการผิดนัดชำระหนี้มีเพิ่มมากขึ้นหลังจากนี้ เพราะความเชื่อมั่นนักลงทุนเริ่มหายไป ซึ่งจะส่งผลต่อการ Roll over ให้ลดน้อยลง ขณะที่ปริมาณตั๋วบี/อีคงค้างมีอยู่ค่อนข้างเยอะ" นายประกิตกล่าว
กดดัน บลจ.หาสภาพคล่องตั้งรับ
แหล่งข่าวในวงการตลาดทุนกล่าวว่า หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ดีฟอลต์ของตั๋วบี/อี ส่งผลให้นักลงทุนไม่มั่นใจที่จะซื้อกองทุนที่มีการลงทุนในตั๋วบี/อีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้การขายกองทุนใหม่เพื่อทดแทนกองทุนเดิมที่หมดอายุ ทำได้ยากขึ้น และคาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลังจากนี้
ปัจจุบันมีหลายบริษัทที่ใช้แหล่งระดมทุนระยะสั้นอย่างตั๋วบี/อีเป็นสภาพคล่องในการบริหารธุรกิจรวมถึงพบว่า บจ. บางแห่งมีเงินกู้เกินกว่าครึ่งหนึ่งของสินทรัพย์ด้วย ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงมาก โดยเฉพาะหากเกิดปัญหาไม่สามารถระดมทุนได้ก็อาจกระทบไปถึงตราสารทุนอื่น ๆ ดังนั้น บลจ.ที่มีตั๋วบี/อีจึงต้องเตรียมหาสภาพคล่องไว้รองรับให้ทัน
"ช่วง 1-2 ปีนับจากนี้จะมีการดีฟอลต์ของตั๋วบี/อีอีกเยอะ เพราะเมื่อบริษัทถึงกำหนดชำระเงินก็ต้องหมุนเงินให้ได้ แต่ในภาวะแบบนี้ นักลงทุนหลายคนก็ขาดความเชื่อมั่น ดังนั้นถ้านักลงทุนบอกว่า เสี่ยง ไม่ต้องการลงทุน ก็จะต้องหานักลงทุนกลุ่มใหม่เข้ามาซื้อ จนกระทั่งตกลงกันได้ ซึ่งต้นทุนที่บริษัทต้องจ่ายผลตอบแทนก็จะต้องสูงขึ้นไปด้วย สถานการณ์นี้จะกระทบเป็นโดมิโนแค่ไหน ต้องดูว่าการดีฟอลต์ของตั๋วบี/อีจะรุนแรงไปจนถึงขั้นกระทบต่อสภาพคล่องไปเป็นทอด ๆ หรือไม่" แหล่งข่าวกล่าว
เร่งหามาตรการดึงความเชื่อมั่น
นางสาวอริยา ติรณะประกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า การผิดนัดชำระหนี้ที่เกิดขึ้นมีค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับตราสารหนี้ที่มีอยู่ทั้งระบบ จึงไม่อยากให้นักลงทุนตื่นตระหนก เพราะจะกระทบต่อความเชื่อมั่นเป็นวงกว้าง โดยขณะนี้ทางสมาคมฯอยู่ระหว่างการประสานกับหลายฝ่าย อาทิ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อพูดคุยถึงปัญหาและมาตรการใหม่ ๆ ที่จะออกมารองรับ
"ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นสิ่งสำคัญมาก หากนักลงทุนแห่ไปถอนเงินออกจากตั๋วบี/อี กะทันหัน จะทำให้ผู้ออกตั๋วต่าง ๆ ไม่สามารถชำระหนี้ได้ทัน ซึ่งผู้ออกตั๋วที่มีปัญหามีเพียง 1% ของมูลค่าตลาดเท่านั้น แนวทางแก้ไขคือต้องเรียกความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนโดยเร็วที่สุด" นางสาวอริยากล่าว
ตลท.เผยมีกลุ่มเสี่ยงอีกหมื่นล้าน
ด้านนายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้างานสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตราสารคาดว่ายังมีสัดส่วนที่มีความเสี่ยงอยู่ที่ราว 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่ายังเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับยอดตั๋วบี/อี คงค้างทั้งระบบ ณ ปี 2559 ที่ราว 2-3 แสนล้านบาท ขณะที่มี บจ.ที่เป็นผู้ออกอยู่ราว 10 กว่าบริษัท ขณะที่ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของ บจ.คาดว่าจะไม่ลุกลามวงกว้างไปยังหุ้นกู้น็อนเรตซึ่งจำกัดผู้ลงทุนแค่กลุ่มสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งความเสียหายหากเกิดการผิดนัดชำระจะค่อนข้างจำกัด
ขณะนี้ยังไม่ถือว่า บจ.ก่อหนี้เยอะเกินไป เนื่องจากปัจจุบัน บจ.ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) เฉลี่ยอยู่ที่ราว 1 เท่าเศษ ซึ่งแม้บางกลุ่มอาจมีการก่อหนี้ค่อนข้างเยอะ แต่เป็นการเตรียมไว้สำหรับการลงทุน ขณะที่กระแสเงินสดของ บจ.ไทยยังมีเพียงพอและสามารถก่อหนี้ได้อีก
"การผิดนัดชำระหนี้ยังไม่น่าห่วง แต่เราก็ไม่ประมาท โดยตลาดหลักทรัพย์ฯและสมาคมตลาดตราสารหนี้กำลังร่วมกันสำรวจตลาดตั๋วบี/อี ทั้งหมดว่ามีมูลค่าเท่าไหร่ และมีกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการผิดนัดชำระหนี้กับรายไหนบ้าง" นายสันติกล่าว
SCB ทบทวนแผนออก "หุ้นกู้"
นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ผู้บริหารสาย Primary Distribution ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า จากข่าวการผิดนัดชำระหนี้ทั้งตั๋วบี/อี และหุ้นกู้ 2-3 รายที่ผ่านมา เชื่อว่าน่าจะทำให้สถาบันการเงินและธนาคาร ซึ่งเป็นผู้ออกหุ้นกู้และจัดจำหน่าย จะต้องมีการทบทวนการออกหุ้นกู้ให้กับบริษัทต่าง ๆ โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่มีมาร์เก็ตแคปค่อนข้างต่ำไม่เกิน 1-2 พันล้านบาท ต้องระมัดระวังสกรีนมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทเล็กทุกรายจะมีปัญหา หรือมีความเสี่ยง แต่เกณฑ์การพิจารณาของธนาคารก็จะมากขึ้น
นางสาววีณากล่าวว่า สำหรับหุ้นกู้น็อนเรตปกติเราไม่ค่อยออก ยกเว้นว่าลูกค้าดีจริง ปัจจุบันการออกหุ้นกู้น็อนเรตของธนาคารมีสัดส่วนน้อยมาก ที่ผ่านมามีเพียง 1-2 รายเท่านั้น เช่น ปี 2559 ธนาคารได้ออกหุ้นกู้ให้กับบริษัทกันกุลเอ็นจิเนียริ่ง มูลค่าราว 1,500 ล้านบาท
ส่วนการออกตั๋วบี/อีให้กับบริษัทต่าง ๆ ของธนาคารไม่ค่อยมี เนื่องจากลูกค้าธนาคารส่วนใหญ่นิยมออกหุ้นกู้ โดยปี 2559 มีบริษัทที่ออกตั๋วบี/อีเพียงระดับ 100-200 ล้านบาทเท่านั้น
นางสาววีณากล่าวว่า สำหรับกลุ่มลูกค้าไพรเวตเวลท์ต่าง ๆ เชื่อว่าเบื้องต้นไม่น่าจะมีผลกระทบ เนื่องจากนักลงทุนกลุ่มนี้จะเน้นความเสี่ยงต่ำ เช่น หุ้นกู้ที่มีความน่าเชื่อถือค่อนข้างมาก เน้นการเข้าไปลงทุนผ่านกองทุนที่มั่นคง มีเรตติ้งค่อนข้างดี ไม่เน้นแสวงหาความเสี่ยงจากผลตอบแทนสูง ๆ เหมือนกลุ่มนักลงทุนทั่วไป
อย่างไรก็ตามยอมรับว่า ผลกระทบจากการผิดนัดชำระหนี้ที่เกิดขึ้น อาจทำให้ลูกค้าของธนาคารพิจารณาการเลือกลงทุนแต่ละประเภทการลงทุนมากขึ้น โดยเน้นความปลอดภัย ไม่เน้นผลตอบแทนสูงเกินไป
ปรับแผนลงทุน "หุ้นกู้มีเรตติ้ง"
นายสุธีร์ โล้วโสภณกุล รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารเงิน ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ยอมรับว่าในอดีตมีบ้างที่ธนาคารออกหุ้นกู้ที่ไม่มีเรตติ้งให้กับบริษัทต่าง ๆ แต่มีจำนวนน้อยราย ซึ่งอาจมาจากลูกค้ารายดังกล่าวเคยเป็นลูกค้าธนาคารมาก่อน เป็นต้น แต่ปัจจุบันการออกหุ้นกู้ส่วนใหญ่เน้นบริษัทที่เรตติ้งดีเท่านั้น สำหรับกรณีบริษัทรีช เอเชีย ซึ่งมีการผิดนัดชำระหุ้นกู้ ซึ่งระบุว่าซีไอเอ็มบี ไทย เป็นนายทะเบียนในการจำหน่ายนั้น ตนไม่ทราบข้อมูล เนื่องจากเป็นส่วนงานอื่น ๆ ของธนาคารดำเนินการเรื่องดังกล่าว
อย่างไรก็ตามยอมรับว่าจากการผิดนัดชำระทั้งตั๋วบี/อีและหุ้นกู้ ก็มีส่วนกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันอาจมีการทบทวนการคัดเลือกการลงทุนมากขึ้น เช่น เน้นเฉพาะลงทุนหุ้นกู้ที่มีเรตติ้งเท่านั้น หรืออาจต้องดูครอบคลุมไปถึงพื้นฐานของบริษัทนั้น ๆ ด้วย
"หุ้นกู้ที่ธนาคารออกส่วนใหญ่เป็นการขายให้กับนักลงทุนรายใหญ่ ไม่ได้ขายให้รายย่อย ซึ่งนักลงทุนรายใหญ่จะมีการกระจายความเสี่ยงการลงทุนอยู่แล้ว และทราบว่าแต่ละหุ้นกู้มีความเสี่ยงอย่างไร ขณะเดียวกันธนาคารก็ต้องปรับการพิจารณาการคัดเลือกบริษัทที่จะมาออกหุ้นกู้มากขึ้นด้วย เพื่อให้ปลายทางไม่เกิดปัญหาตามมา" นายสุธีร์กล่าว
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นย่อมทำให้นักลงทุนเดือดร้อน แต่ยังเชื่อว่าจะไม่กระทบความเชื่อมั่นการลงทุน และกระทบต่อระบบโดยรวม เพราะเป็นเพียงการลงทุนในเฉพาะกลุ่ม แต่ก็ทำให้คนลงทุนเดือดร้อน ต้องถามพวกมืออาชีพทั้งหลายอย่าง บลจ. ว่าได้ทำหน้าที่ของตัวเองหรือยัง ซึ่งที่สุดแล้ว บลจ.ต้องปรับตัว ไม่เช่นนั้นลูกค้าก็จะหาย