แบงก์ชาติ ชี้ “VUCA World” เขย่าศก.ไทยปี 63 สาหัส
ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) นำเสนอบทความในนิตยสาร “BOT MAGAZINE” เรื่องทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2563 ชะลอตัวต่ำกว่าที่คาดและต่ำกว่าศักยภาพ พร้อมเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าเหมือนคนที่เดิมคาดว่าจะออกวิ่งเหยาะ ๆ กลับกลายเป็นได้แค่เพียงเดินประคองตัวเท่านั้น
ธปท.ให้คำจำกัดความของอัตราการเติบโตที่ระดับศักยภาพ (potential growth) หมายถึง อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ณ ช่วงที่เศรษฐกิจมีการใช้ทรัพยากรและปัจจัยการผลิตอย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งธปท.เคยระบุก่อนหน้านี้ว่าอัตราการขยายตัวในระดับศักยภาพของเศรษฐกิจไทยจะอยู่ที่ 2.5-4%
สำหรับเนื้อหาโดยละเอียดในบทความชิ้นนี้ระบุว่า ปี 2563 เศรษฐกิจไทยเปิดศักราชใหม่ปีชวดด้วยความหวังว่าจะกลับมาขยายตัวดีกว่าปีกุน แต่ภาวะ“VUCA World” volatility, uncertainty, complexity and ambiguity หรือความผันผวน ความไม่แน่นอน ความสลับซับซ้อน และความคลุมเครือ ทำ ให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะชะลอตัวและต่ำกว่าระดับศักยภาพต่ออีกปี
ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนก็น่าจะเหมือนคนที่เดิมคาดกันว่าจะออกวิ่งเหยาะ ๆ กลับกลายเป็นได้แค่เพียงเดินประคองตัวเท่านั้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโรคไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 (COVID-19) ปัญหาภัยแล้งที่รุนแรงกว่าที่คาด และพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่ล่าช้า
สรุปภาพเศรษฐกิจปีกุน
ในช่วงต้นปี 2562 นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ประมาณ 4% หรืออยู่ในช่วงระดับศักยภาพ แต่ผลกระทบจากภาวะกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนส่งผลกระทบต่อปริมาณการค้าโลกมากกว่าที่หลายฝ่ายประเมินกันไว้ ทำให้ภาคการส่งออกของไทยหดตัวจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว ส่งผลกระทบต่อรายได้และการจ้างงานในประเทศชัดเจนขึ้น จนทำให้เศรษฐกิจไทยปิดท้ายปีกุนกลับกลายเป็นขยายตัวต่ำกว่าระดับศักยภาพ
เศรษฐกิจปี 2563 : ชวดอีกปี ?
ปี 2563 เศรษฐกิจไทยเปิดศักราชใหม่ปีชวดด้วยความหวังว่าจะกลับมาขยายตัวดีกว่าปีกุน แต่ภาวะ “VUCA World” ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะชะลอตัวและต่ำกว่าระดับศักยภาพต่ออีกปี เนื่องจากยังไม่ทันข้ามเดือนแรกของปีก็เกิดภาวะการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศ โดยเฉพาะจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและการจ้างงานของภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวจำนวนมาก
ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนก็เหมือนคนที่เดิมคาดว่าจะออกวิ่งเหยาะ ๆ กลับกลายเป็นได้แค่เพียงเดินประคองตัวเท่านั้น
โดยหากเราตรวจสอบความพร้อมของเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยในปี 2563 พบว่า แต่ละเครื่องยนต์ต่างมีทั้งปัจจัยเสริม และปัจจัยฉุดรั้ง ดังนี้
การส่งออกสินค้า : เครื่องยนต์หลักที่ขัดข้อง เริ่มกลับมาเดินเครื่องใหม่อีกครั้งในปี 2563
การส่งออกสินค้าของไทยคาดว่าจะขยายตัวได้เล็กน้อยดีขึ้นจากที่หดตัวในปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ได้แก่
(1) พัฒนาการของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น หลังมีการบรรลุข้อตกลงทางการค้าระยะแรก อย่างเป็นทางการ จึงคาดว่าภาพรวมของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกในระยะต่อไปน่าจะปรับตัวดีขึ้นบ้าง
(2) วัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่คาดว่าจะทยอยฟื้นตัวในปีนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการเริ่มใช้ระบบ 5G ในหลายประเทศ โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นคำสั่งซื้อและการผลิตปรับตัวดีขึ้นชัดเจนประมาณช่วงกลางปีนี้
อย่างไรก็ตาม การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงต้นปีอาจส่งผลกระทบต่อระยะเวลาและความเร็วในการฟื้นตัวได้หากผลกระทบของโรคระบาดลามไปสู่ภาคการผลิต จนกระทบห่วงโซ่การผลิตของโลก
นอกจากนี้ การส่งออกของไทยยังคงมีปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งให้การขยายตัวอาจไม่กลับไปสูงเท่ากับในอดีต คือการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกทั้งที่มาจากคู่แข่งที่สามารถพัฒนาศักยภาพได้เร็วกว่าไทย และการเสียส่วนแบ่งการตลาดในอาเซียนให้แก่ประเทศจีนที่นำสินค้าเข้ามาแข่งขันเพื่อกระจายความเสี่ยงจากตลาดสหรัฐฯ
การท่องเที่ยว : เครื่องยนต์เล็ก แต่เจอปัญหาใหญ่
สำหรับการส่งออกบริการโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว แม้ว่าจะมีขนาดเล็กในระบบเศรษฐกิจ เมื่อเทียบกับภาคการส่งออกสินค้า แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวมีส่วนสำคัญในการช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยไว้ได้ในยามที่เครื่องยนต์หลักของประเทศขัดข้อง และแม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็สามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วทุกครั้ง
ทว่าในปี 2563 ภาคการท่องเที่ยวกลับต้องเผชิญกับปัญหาที่หนักหน่วงกว่าทุกครั้ง จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เหนือความคาดหมาย ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงมาก ส่งผลกระทบรุนแรงต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ซึ่งมีสัดส่วนการจ้างงานถึงประมาณ 23.5% ของการจ้างงานในปี 2562
ความท้าทายของการฟื้นตัวในครั้งนี้จึงขึ้นอยู่กับว่า โรคระบาดดังกล่าวจะรุนแรงและยืดเยื้อเพียงใด เนื่องจากส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ ภาคการท่องเที่ยวในปีนี้จึงเป็นการประคองตัวเพื่อความอยู่รอด โดยจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องจากทั้งภาครัฐและสถาบันการเงิน
การลงทุนทั้งจากภาคเอกชนและภาครัฐ เจออุปสรรคจาก พ.ร.บ. งบประมาณฯ ล่าช้าในปี 2563
การลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐที่นับว่าเป็นความหวังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยกลับเผชิญกับอุปสรรคสำคัญจากการประกาศใช้พ.ร.บ. งบประมาณฯ ที่ล่าช้าและยังมีความไม่แน่นอนสูง ส่งผลให้การลงทุนของภาครัฐที่เป็นการลงทุนใหม่ต้องเลื่อนออกไป และบั่นทอนความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจจนทำให้ภาคเอกชนบางส่วนชะลอการลงทุนออกไปก่อน
หากปัญหาพ.ร.บ. งบประมาณฯ สามารถคลี่คลายได้เร็ว คาดว่าจะทำให้การลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง โดยเฉพาะโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นความหวังสำคัญของประเทศ
การบริโภคภาคเอกชน : เครื่องยนต์สำคัญแต่เปราะบาง
ในปีที่ผ่านมา แม้ว่าการจ้างงานและรายได้ครัวเรือนได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่ลดลง แต่การบริโภคโดยรวมกลับยังคงขยายตัวได้ดี เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐอย่างต่อเนื่อง อาทิ มาตรการชิมช้อปใช้ และมาตรการช่วยเหลือรายได้เกษตรกร ซึ่งมาตรการเหล่านี้เน้นความรวดเร็วและการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น
ในปี 2563 นี้ หลังจากผลของมาตรการต่างๆ หมดลงแล้ว คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะมีแนวโน้มชะลอลงตามปัจจัยพื้นฐานด้านรายได้ โดยรายได้เกษตรกรคาดว่าจะลดลงจากปีก่อนจากปัญหาภัยแล้งที่ทำให้ผลผลิตหดตัว
สำหรับรายได้นอกภาคเกษตรคาดว่าจะชะลอตัว โดยเฉพาะรายได้จากภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากโรคไวรัสโควิด-19 และแม้ว่าการส่งออกจะเริ่มมีทิศทางปรับดีขึ้น แต่คาดว่าจะใช้เวลากว่าจะนำมาสู่การจ้างงานที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากภาคธุรกิจจำเป็นต้องมั่นใจเสียก่อนว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้อย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ภาคแรงงานยังเผชิญความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจากการที่ภาคธุรกิจมีแนวโน้มนำระบบอัตโนมัติ(automation) เข้ามาทดแทนแรงงานมากขึ้น ส่งผลให้ค่าจ้างแรงงานเติบโตน้อย แรงงานบางส่วนจึงอาจหันไปอาศัยการก่อหนี้เพื่อการบริโภคมากขึ้นจนกลายมาเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงดังเช่นในปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันการบริโภคภาคเอกชนในระยะถัดไป
อัตราเงินเฟ้อ : ต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย
สำหรับปี 2563 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย ตามแรงดันด้านอุปสงค์ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานที่มีแนวโน้มปรับลดลงตามความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะปรับเพิ่มเล็กน้อยจากค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสดที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบของปัญหาภัยแล้งที่ทำให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ซึ่งอาจทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่าคาด ได้แก่
(1) การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่อาจลุกลามและส่งผลกระทบมากกว่าที่ประเมินไว้
(2) พัฒนาการของภาวะการค้าและการลงทุนโลก ซึ่งได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
(3) ความคืบหน้าของการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่สำคัญ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง
และ (4) พัฒนาการของตลาดแรงงานและรายได้ครัวเรือน ที่อาจใช้เวลาการฟื้นตัวนานกว่าอดีตแม้การส่งออกจะฟื้นตัว เนื่องจากการนำระบบ automation เข้ามาทดแทนแรงงานมากขึ้น รวมถึงปัญหาภัยแล้งที่อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ครัวเรือนภาคเกษตร
นโยบายการเงิน : ผ่อนคลายแต่ไม่ผ่อนแรง
ในปี 2562 ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เห็นว่าเศรษฐกิจไทยชะลอตัวจากภาคการส่งออกเป็นสำคัญ ซึ่งส่งผลให้การจ้างงานลดลงและอุปสงค์ ในประเทศอ่อนแอลงอย่างชัดเจน จึงได้ผ่อนคลายนโยบายการเงินโดยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 2 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี เพื่อช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ และเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับสู่กรอบเป้าหมาย
ในการประชุมในช่วงต้นปี 2563 กนง. เห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มขึ้นจะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้น จึงเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายนับว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำที่สุดในประวัติการณ์ที่ 1%
สำหรับการดำเนินนโยบายในระยะต่อไป ยังคงเป็นลักษณะที่ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของข้อมูล(data dependent) อาทิ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ เสถียรภาพระบบการเงิน รวมถึงพัฒนาการของความเสี่ยงต่าง ๆ
แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเต็มศักยภาพ
โดยสรุป คงต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 ยังคงเป็นอีกปีที่เติบโตต่ำกว่าระดับศักยภาพ โดยมีปัจจัยฉุดรั้งสำคัญคือ ปัจจัยชั่วคราวแต่รุนแรง ได้แก่ การระบาดของไวรัสโควิด-19 ปัญหาภัยแล้ง และ พ.ร.บ. งบประมาณฯ ที่ล่าช้า
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีปัจจัยเชิงโครงสร้างที่เป็นปัญหาเรื้อรังมานาน อาทิ ความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออก ปัญหาความเหลื่อมล้ำและการกระจายรายได้ของภาคครัวเรือน รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งล้วนเกี่ยวพันและผูกโยงกัน
ดังนั้น การจะแก้ให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวที่ระดับศักยภาพได้อีกครั้ง คงไม่สามารถพึ่งพาการกระตุ้นผ่านมาตรการ การคลังระยะสั้น หรือการใช้นโยบายการเงินที่มีประสิทธิผลจำกัดในการรักษาโรคที่มาจากปัญหาเชิงโครงสร้างได้
ปัญหาเชิงโครงสร้างจำเป็นต้องได้รับยาที่ถูกโรคหรือการผ่าตัดเศรษฐกิจไทยโดยต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันให้พร้อมออกวิ่งในสนามอย่างแข็งแรง ยามเมื่อเศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง และปัจจัยลบชั่วคราวหมดไป
มิเช่นนั้นแล้วเศรษฐกิจไทยคงจะต้องเติบโตต่ำกว่าระดับศักยภาพไปอีกหลายปี
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมุลจาก