KCG วาง 4 ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนธุรกิจ
ก้าวสู่การเป็นผู้นำในประเทศไทย
กางแผนปี 66-67 ลงทุนโรงงาน-คลังสินค้า

.
KCG วาง 4 ยุทธศาตร์ ขับเคลื่อนธุรกิจ พร้อมรับสนใจการเข้าซื้อกิจการธุรกิจต้นน้ำ หวังเสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่คุณค่า พร้อมหนุนการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กางแผนธุรกิจปี 66-67 เตรียมลงทุนคลังสินค้าและโรงงานชีส
.
โดย นายตง ธีระนุสรณ์กิจ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG เปิดเผยว่า บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภค ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเนย-ชีส บิสกิต และส่วนประกอบอาหารและเบเกอรี่ที่หลากหลาย โดยอยู่ภายใต้แบรนด์หลัก เช่น Allowrie Imperial และ Dairygold
.
สำหรับในปัจจุบัน KCG มีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม (Dairy Products) ,กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี่ (Food and Bakery Ingredients) และกลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต (Biscuits) ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์คุกกี้ ผลิตภัณฑ์แครกเกอร์ และผลิตภัณฑ์เวเฟอร์
.
ด้าน ดร.วาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ KCG กล่าวว่า บริษัทได้วางกลยุทธ์เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในประเทศไทย ผ่าน 4 แนวทางขับเคลื่อนธุรกิจ ได้แก่ การขยายกำลังการผลิตพร้อมทั้งนำเทคโนโลยีมายกระดับกระบวนการผลิต โดยวางแผนลงทุนเครื่องจักรระบบอัตโนมัติ (Automation) เพื่อขยายกำลังการผลิต (Capacity Expansion) พร้อมบริหารจัดการต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ
.
ขณะเดียวกันก็จะพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ โดยบริษัทมีความมุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงพัฒนาสูตรใหม่ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมและไม่ได้ทำจากนม เพื่อเป็นอาหารทางเลือกใหม่ซึ่งดีต่อสุขภาพและสอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งช่วยตอกย้ำความเป็นผู้นำในการนำเสนอสินค้าสู่ตลาด (Trend Setter)
.
นอกจากนี้ ยังสร้างช่องทางการจำหน่ายที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งขยายช่องทางจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมทั้งช่องทางร้านสะดวกซื้อและตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) สำหรับกลุ่มผู้บริโภค (B2C) พร้อมยกระดับการให้บริการกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ (B2B) ตลอดจนขยายตลาดในต่างประเทศผ่านตัวแทนจัดจำหน่าย จากปัจจุบันที่มีการส่งออกไปแล้ว 15 ประเทศทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้
.
สุดท้ายจะขยายธุรกิจผ่านการควบรวมกิจการ (M&A Opportunities) โดยสร้างการเติบโตทั้งในและต่างประเทศผ่านการร่วมทุน (Joint Venture) หรือการควบรวมกิจการ (M&A) โดยเน้นธุรกิจที่มีเป้าหมาย วิสัยทัศน์ และแผนกลยุทธ์ที่เสริมศักยภาพการเติบโตให้แก่บริษัท อาทิ ธุรกิจต้นน้ำ (Upstream) ซึ่งเป็นธุรกิจที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่คุณค่า (Supply Chain) เพื่อให้เกิดการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
.
ฟากนายธวัช ธีระนุสรณ์กิจ รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส KCG กล่าวว่า บริษัทมีแผนการลงทุนในปี 2566-2567 เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ ได้แก่ การลงทุนก่อสร้างและพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า (KCG Logistics Park) เพื่อเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บและบริหารจัดการสินค้าอย่างทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
.
รวมทั้งขยายกำลังการผลิตที่โรงงานเทพารักษ์ด้วยการนำเทคโนโลยีมายกระดับกระบวนการผลิต โดยมีแผนในการขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ชีส (Individually Wrapped Processed Cheese Slices) จากเดิม 2,106 ตันต่อปี ให้เพิ่มเป็น 4,212 ตันต่อปี ภายในปีนี้ และจะขยายกำลังการผลิตเนย จากในปัจจุบัน 18,596 ตันต่อปี เพิ่มเป็น 23,261 ตันต่อปี ในปี 2567 เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ
.
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน ภายใต้การดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG (Environment, Social, Governance) ซึ่งครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยบริษัทได้มีการติดตั้ง Solar Rooftop ที่โรงงานเทพารักษ์ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2564 ได้ถึง 646 ตันต่อปี
.
อีกทั้งยังได้ร่วมเป็นหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับชุมชนและสังคมในวงกว้างผ่านโครงการ เช่น โครงการประกวดนวัตกรรมอาหาร ‘Innovation Contest’ ที่ส่งเสริมนักศึกษาในการสร้างนวัตกรรมอาหาร ตลอดจนการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตั้งแต่ผู้ถือหุ้น พนักงาน ลูกค้า คู่ค้า คู่สัญญา ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม