ห้องเม่าปีกเหล็ก

ลดบทบาทดอลลาร์การค้า-ตะกร้าเงิน

โดย dave
เผยแพร่ :
66 views

ลดบทบาทดอลลาร์การค้า-ตะกร้าเงิน

 

กรุงไทยแนะ ลดบทบาทดอลลาร์ลงหันมาโปรโมตสกุลเงินท้องถิ่นที่ตรงกับคู่ค้าแทนชี้เอสเอ็มอียังเป็นจุดเปราะบาง แข่งขันด้วยค่าเงินอ่อนจะอยู่รอดยาก ด้าน “ทหารไทย” ยันระบบสถาบันการเงินแข็งแกร่ง แต่หนี้ครัวเรือนเพิ่มต่อเนื่อง เป็นจุดเปราะบางเศรษฐกิจ  

22 ปีผ่านไป หลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจการเงินในปี 2540 ปัญหาค่าเงินบาทถูกกลับมาพูดถึงอีกครั้งหนึ่ง จากเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาจำนวนมาก จนทำให้เงินบาทแข็งค่าเกือบ 6% มากที่สุดในภูมิภาค ซึ่งหากเทียบสถานการณ์เศรษฐกิจและเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินไทยในปัจจุบัน แม้ภาวะเศรษฐกิจปีนี้ จะส่งสัญญาณการชะลอตัวตามการค้าและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอ จากผลกระทบของสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยังยืดเยื้อ ขณะที่ไทยยังติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง 

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า 22 ปีวิกฤติค่าเงินและเศรษฐกิจไทยนั้น สำหรับการดำเนินนโยบายการเงินถือว่า ไทยยึดสูตรตะวันตกเป็นต้นแบบและเป็นเด็กดี แต่บอกไม่ได้ว่าถูกหรือผิดเพราะหากย้อนดูฝั่งต้นแบบผู้ตั้งนโยบายไม่สะท้อนความสำเร็จ โดยเฉพาะสหรัฐฯเห็นผลเชิงบวกเพียง 2 กลุ่ม (กลุ่มธนาคารและกลุ่มเทคโนโลยี) ขณะที่การดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเงินเฟ้อนั้นในเชิงนโยบายอาจเก่าสำหรับบริบทปัจจุบัน เพราะทั่วโลกเจอปัญหาการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประชากรวัยทำงานค่อยๆ ปรับตัวลดลงและเทคโนโลยีที่ดีขึ้น ทั้ง 3 ปัจจัยทำให้อัตราเงินเฟ้อไม่น่ากลัวเช่นสมัยก่อน

สำหรับการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ ส่วนตัวมองว่า ควรจะบริหารจัดการแบบใหม่ ด้วยการลดบทบาทดอลลาร์ในเชิงการค้า โดยพยายามโปรโมตให้ผู้ส่งออกใช้สกุลเงินอื่นที่ตรงกับคู่ค้าโดยไม่พึ่งสกุลเงินเดียว ขณะเดียวกันธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สามารถซื้อสกุลเงินอื่นๆ เพื่อเพิ่มสินทรัพย์สกุลเงินให้มีสัดส่วนและความหลากหลายนอกจากดอลลาร์ นอกจากกระจายความเสี่ยงและผลตอบแทนยังลดโอกาสไม่ให้ค่าเงินบาทด้อยค่ารุนแรงหรือลดโอกาสผันผวนของค่าเงิน และลดการสะสมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไม่ให้ปูดบวมมาก

 

“เสนอโปรโมตการใช้สกุลเงินท้องถิ่น และการเก็งกำไรค่าเงินนั้น เมื่อโลกเปลี่ยนและด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน เราไม่สามารถปิดกั้นทั้งหมด ควรเปิดให้ทุกคนเปิดซื้อขายเงินได้เสรีและปรับวิธีควบคุมตาม ซึ่งหากเปิดเสรีแล้วไม่มีใครทำลายเงินบาท แต่เป็นการเพิ่มสภาพคล่องตลาดการเงิน โดยธปท.ไม่ต้องไล่ซื้อดอลลาร์ แต่เปิดให้นักลงทุน มาซื้อดอลลาร์ได้เช่นตลาดหุ้น เพราะสกุลเงินเป็นสินทรัพย์อย่างหนึ่ง แต่ปีนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาเกือบ 6% ถือว่าเร็วมากแล้ว ดังนั้นหากธปท.อยากจะควบคุมก็ต้องเริ่มเข้ามาดูแล ซึ่งแนวทางปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายทำได้ตลอด”

 

 

 

ที่สำคัญ จุดเปราะบางที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขคือเอสเอ็มอี ซึ่งปรับตัวไม่ทัน ยิ่งเปิดประเทศ และการค้าเสรี โดยเฉพาะออนไลน์ เหล่านี้กระทบหนี้ครัวเรือน เพราะส่วนใหญ่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะใช้สินเชื่อบุคคลเพื่อทำธุรกิจ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น หากเทคโนโลยีเกิดการเปลี่ยนแปลงอีก 2-3 รอบ เชื่อว่าเอสเอ็มอีไทยที่คิดจะแข่งขันด้วยค่าเงินอ่อนค่าในอนาคตจะอยู่รอดยาก

ด้านนายนริศ สถาผลเดชา เจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ธนาคาร ทหารไทยกล่าวว่า 22 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยนอกจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ทั้งใช้มาตรการ Macro Prudential เข้ามาเสริม และมีการใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อผ่านการควบคุมอัตราดอกเบี้ยมาตั้งแต่ปี 2553  เวลาที่เงินบาทแข็งค่า ก็อาจจะมีแรงกดดันให้กลับไปดำเนินนโยบายการเงินแบบเดิม แต่ด้วยสถาน การณ์ปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจที่แม้ว่าจะชะลอตัวขาลงเข้าสู่ New Normal อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับตํ่า ซึ่งสะท้อนภาพนโยบายการเงินที่เปลี่ยนอย่างสิ้นเชิงและท้าทายพอสมควร

 

อย่างไรก็ตาม ในเชิงเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินสะท้อนความแข็งแกร่งมากขึ้น ทั้งคุณภาพสินเชื่อและอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(Capital Adequacy Ratio:CAR) ปัจจุบันอยู่ที่ 16-17% จากช่วงนั้นที่มีเพียง 8% หรือการเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบและมาตรการบริหารความเสี่ยงที่เป็นมาตรฐานสากล ไม่ว่าเรื่อง Basel1-4 มาตรฐานทางบัญชี IFRS รวมทั้งการมีเครดิตบูโร (NCB) เชื่อมฐานข้อมูลเครดิตกลางทำให้ระบบเกิดความน่าเชื่อถือควบคู่กับบริษัทประเมินราคาสินทรัพย์และการจัดชั้นหนี้ที่เป็นมาตรฐาน

“ธปท.กำกับสถาบันการเงินลงลึกเป็นรายเซ็กเตอร์ ล้อไปกับ Basel ที่เข้มขึ้นมาก ทั้งเงินกองทุนและสภาพคล่อง รวมถึงการตรวจสอบที่โปร่งใส ขณะที่ระบบสถาบันการเงินได้เรียนรู้ที่จะไม่ทำผิดพลาดเช่นเดิม ด้วยการปล่อยกู้ที่คำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้และความสามารถในการสร้างกำไร ไม่ใช่ปล่อยกู้โดยหวังจะยึดหลักประกันอย่างเดียว ซึ่งแบงก์ต้องพยายามหารายได้ที่ไม่ได้อยู่บนการทำธุรกรรมและการปล่อยสินเชื่อ แต่จะต้องขยายฐานธุรกิจหาตลาดใหม่ ในกลุ่มบริหารกองทุนและเวลธ์แทน หลังระบบการเงินปรับลดค่าธรรมเนียมบริการลง”

นายนริศกล่าวยืนยันว่า ภาพรวมสถาบันการเงินไม่เปราะบางแน่นอน แต่ระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากระบบสหกรณ์ ขณะที่รายได้ชะลอลง จึงเป็นเรื่องจริงที่ธปท.เป็นห่วง เพราะแม้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ตํ่า แต่หากรวมสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ(SM)ถือว่า สภาพหนี้ยังสูง แม้ในเชิงสถาบันการเงินหรือธนาคาร อาจจะมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงรองรับเพียงพอ แต่ในแง่ของประชาชนย่อมจะได้รับผล
กระทบเรื่องเครดิต จึงต้องแก้ไขปัญหาเสถียรภาพสถาบันการเงินไม่งั้นประชาชนจะเดือดร้อน ส่วนมุมมองด้านเศรษฐกิจตอนนี้ อัตราเติบโตที่ชะลอลงไทยกลายเป็นประเทศที่ติดกับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งไม่รู้จะเอาตัวออกได้อย่างไร

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


dave