วันที่โลกหมุนเร็วขึ้นเพราะวิกฤตโควิด ‘เศรษฐกิจและตลาดทุนไทย’ จะเปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์ 5D อย่างไรบ้าง
ภายในงานสัมมนาวิชาการ “SEC Capital Market Symposium 2020” นอกจากจะมีการประกาศเจตนารมณ์สนับสนุนการใช้ Big Data เพื่อต่อยอดงานวิจัยและส่งเสริมนวัตกรรมในตลาดทุน นำไปสู่การดำเนินนโยบายที่มีประสิทธิภาพ และเพื่อเสริมศักยภาพ เศรษฐกิจและตลาดทุนไทย สู่ความยั่งยืน พร้อมเผยผลวิจัยพฤติกรรมผู้ลงทุนแต่ละเจนเนอเรชั่นโดยใช้ Big Data พบจำนวนผู้ลงทุนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นและพฤติกรรมการลงทุนเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว ในงานนี้ ยังมีการปาฐกถาของ สันติธาร เสถียรไทย Group Chief Economist และ Managing Director บริษัท Sea Limited ในเรื่อง “เศรษฐกิจและตลาดทุนไทย ในวันที่โลกหมุนเร็วขึ้น” ด้วย
โดยนักเศรษฐศาสตร์ผู้ได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศและในระดับสากลท่านนี้ ได้เริ่มต้นการปาฐกถาไว้อย่างน่าสนใจว่า
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ได้ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทำให้อนาคตหลายอย่างที่คิดว่าจะเกิดขึ้นใน 5 ปีข้างหน้า กลับถูกเร่งให้มาถึงเร็วขึ้นแบบไม่ทันได้ตั้งตัว”
เผยมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ โควิดหนุนเทรนด์ 5D เกิดเร็วขึ้น : D ตัวที่หนึ่ง คือ สภาวะหนี้ท่วม
สันติธาร ได้กล่าวว่า เทรนด์ที่ถูกเร่งขึ้นจะมีอยู่ด้วยกัน 5D นั่นคือ
หนึ่ง : Debt Accumulation หรือ สภาวะหนี้ท่วม
หลายประเทศจะต้องเจอกับปรากฏการณ์หนี้ท่วม โดยในประเทศที่พัฒนาแล้ว หนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะกลับไปสูงเทียบเท่ากับสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนา หรือตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market :EM) ตัวเลขหนี้สาธารณะก็จะสูงเป็นประวัติศาสตร์เช่นกัน
ส่วนประเทศไทยเอง หนี้สาธารณะก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ดี ปัจจุบันอยู่ที่กว่า 50% ของจีดีพี อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่หนี้สาธารณะ แต่เป็นหนี้ภาคเอกชน โดยเฉพาะที่มาจากหนี้ภาคครัวเรือน อยู่ที่ 83% ของจีดีพี และมีแนวโน้มสูงขึ้นจากรายได้ที่ลดลง
หนี้สาธารณะที่ปรับตัวสูงขึ้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจมหภาค ตลาดการเงิน และตลาดทุนโลก ที่อาจทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “2 Low and 2 Highs” โดย 2 Low คือ
-
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลง และกระทบศักยภาพการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้กล่าวถึงมาตั้งแต่ต้นปี คือการเกิดสภาวะแผลเป็น เช่น ธุรกิจปิดกิจการ คนตกงาน ไม่สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่สามารถย้ายอุตสาหกรรมได้โดยง่าย เศรษฐกิจหลายประเทศทั่วโลกอาจเป็นเหมือนนักกีฬา ที่พอบาดเจ็บแล้ว แม้จะกลับมาเล่นใหม่ได้ก็ไม่สามารถวิ่งได้เร็วเหมือนเดิม กระโดดไม่สูงเหมือนเดิม จากสภาวะร่างกายที่ไม่เหมือนเดิม
-
อัตราดอกเบี้ยที่น่าจะอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนถึงปี 66 ส่งผลให้ทั่วโลกอยู่ในสภาวะดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งการที่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน จะส่งผลต่อเงินทุนไหลเข้ามายังตลาดเกิดใหม่ (EM)
ขณะที่ 2 Highs คือ บางประเทศประสบกับภาวะค่าเงินแข็งค่า ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า เห็นได้จากปัจจุบันที่ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น และ หนี้สาธารณะ ก็สูงขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม สภาวะเดิม 2 Low and 2 Highs ตอกย้ำแผลเก่าที่มีอยู่แล้ว คือ สภาวะที่เกิดขึ้นจากสังคมผู้สูงอายุ คนวัยทำงานที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำ
ฉะนั้น จะต้องพึ่งพาการพัฒนา Productivity หรือประสิทธิภาพของแรงงานมากขึ้น ซึ่งหากประสิทธิภาพของแรงงานไม่ได้โตขึ้น การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจก็จะช้าลง จากเดิมที่โตกว่า 4% ก็จะโตเป็นกว่า 2%
นอกจากนั้น คนจะเข้าวัยเกษียณมากขึ้น และมีแนวโน้มออมเงินมากขึ้น ส่งผลให้สภาพคล่องของตลาดการเงินในระบบธนาคารจะสูงขึ้น ถ้าไม่มีการนำสภาพคล่องออกมาใช้ เช่น การลงทุนโรงงาน เครื่องจักร ก็อาจทำให้สภาพคล่องล้นระบบ ซึ่งหากดูตัวเลขการเงินของประเทศไทย จะเห็นว่าตัวเลขการลงทุนมีสัดส่วนต่อจีดีพีเป็นตัวเลขขาลงมาโดยตลอด 8 ปี ขณะเดียวกันเมื่อมีการลงทุนน้อย นำเข้าเครื่องจักรน้อย การค้าเกินดุลก็จะสูงขึ้น ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
ส่วนสิ่งที่ตามมากับภาวะนี้ คือ ความต้องการเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ โดยคนกู้ก็ต้องการวิธีระดมทุนใหม่ ๆ ฝั่งคนออมก็ต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น หรือกระจายการลงทุนออกไปจากตลาดหุ้น อย่างการลงทุนใน Cryptocurrency ซึ่งมองว่าจากนี้จะเห็นการลงทุนรูปแบบใหม่นี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ความเหลื่อมล้ำ แบ่งแยก จะยิ่งเห็นชัดในระบบเศรษฐกิจโลก
สอง : Divided ความเหลื่อมล้ำ
เพราะวิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้แตกต่างตรงผลลัพธ์ ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ วิกฤตต้มยำกุ้ง ที่โจมตีคนที่มีสายป่านสั้น แต่วิกฤตโควิดในครั้งนี้ทางธนาคารโลกประเมินว่า โควิด-19 จะส่งผลให้มีคนยากจนราว 111-150 ล้านคนทั่วโลก ทำให้อัตราความยากจนถอยหลังไปเหมือนกับ 3-4 ปีก่อน
ขณะที่ไทยเองก็มีความเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีและแรงงานที่อยู่ในภาคบริการ ซึ่งจากการศึกษาของ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา พบว่าประมาณ 30% ของธุรกิจน่าจะมีปัญหาสภาพคล่องหรือปัญหาในการชำระหนี้ และกว่า 90% ในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอี ส่วนแรงงานที่อยู่ในภาคบริการส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจะเป็นกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว โดยพบว่า 9 ล้านคน มีการศึกษาไม่ถึงปริญญาตรี ซึ่งถือเป็นกลุ่มเปราะบางมาก
นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มเปราะบางดังกล่าว ส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน และมีสภาพคล่องที่ค่อนข้างจำกัด โดยจากการศึกษาของบริษัทร่วมกับพันธมิตร พบว่าธุรกิจเอสเอ็มอี คิดเป็น 1 ใน 4 เท่านั้นที่พึ่งพาสถาบันการเงินในช่วงวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งการเงิน โดยโจทย์ต่อไป คือจะทำอย่างไรให้กลุ่มคนเหล่านี้สามารถเข้าถึงแหล่งการเงินได้มากขึ้น
สาม : Divergence หรือการแบ่งแยกกัน
ระหว่างเศรษฐกิจในเอเชียและโลกตะวันตก ซึ่งขั้วอำนาจจะขยับมาที่เอเชียมากขึ้น โดยเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนโควิด-19 แล้ว และโควิด-19 ก็เป็นตัวเร่งให้เห็นภาพชัดเจน
เนื่องจากทางอเมริกาและยุโรป ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ เห็นได้จากการล็อกดาวน์ในรอบ 2 และ 3 ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันเมื่อดูประเทศจีน เวียดนาม เศรษฐกิจได้มีการฟื้นตัวแล้ว เห็นได้จากจีดีพีของประเทศจีนที่ขณะนี้สูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ไปแล้ว ส่วนประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในเอเชีย IMF ก็คาดว่าน่าจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าอเมริกาและยุโรป
เศรษฐกิจดิจิทัล มาเต็มขั้น รุกทุกวงการ
สี่ : Digital transformation เศรษฐกิจดิจิทัล
D ที่ 4 เป็นเทรนด์ที่มาแรงมากในช่วง โควิด-19 หรือการเข้าสู่ Digitalization หรือ digital transformation ซึ่งการศึกษาพบว่าส่วนหนึ่งที่ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่นน่าจะมีสาเหตุมาจาก ไม่ค่อยมีบริษัทที่เป็นกลุ่ม New Economy หรือ เทคโนโลยี ดิจิทัล แพลตฟอร์มมากนัก
ขณะที่จากการศึกษาของกูเกิล-เทมาเส็ก พบว่า ศักยภาพเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยยังอยู่ในระดับสูงมาก โดยคาดว่าใน 5 ปี ข้างหน้าจะเติบโตเฉลี่ย 25% และมีมูลค่า 50,0000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท ซี่งจะส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น โลจิสติกส์ และการเงิน เป็นต้น
แต่ไม่ใช่ทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจดิจิทัลที่จะได้รับปัจจัยบวกตามไปด้วย เนื่องจากเศรษฐกิจดิจิทัลส่วนใหญ่ผูกติดอยู่กับอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น Agritech เข้ามาช่วยด้านเกษตร E-commerce ช่วยค้าส่งค้าปลีก ฟินเทคช่วยการเงิน ตลาดทุน เป็นต้น โดยโจทย์คือ จะทำอย่างไรให้เทรน Digital transformation เข้ามาช่วยให้เกิดการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจจริง (Real economy Real Sector) ให้ได้
ปลุกกระแส รักษ์โลก เปลี่ยน เศรษฐกิจและตลาดทุนไทย ให้เป็นสีเขียว
ห้า : Degradation of Environment สิ่งแวดล้อม
ถือว่าเป็นคลื่นลูกที่สาม หรือวิกฤตสิ่งแวดล้อม แต่โควิด-19 ทำให้เห็นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยในวงการนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ของโลก เช่น BlackRock ออกมาเร่งการลงทุนในบริษัทที่ดีกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
โดยตัวเลขชี้ให้เห็นว่าการลงทุนในลักษณะดังกล่าวปัจจุบันสินทรัพย์ที่มาลงทุนในกลุ่มนี้มีสูงถึง 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และโอกาส Green Financing ในอาเซียนเพียงอย่างเดียวสูงถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จึงเป็นโอกาสที่สำคัญต่อด้านเศรษฐกิจอย่างมาก
ขณะเดียวกันรัฐบาลในหลายประเทศก็มองวิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสในการ reset ใหม่ และอยากจะใช้การฟื้นตัวพร้อมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบมีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมใส่เข้าไปด้วย หรือ Green Recovery เช่น ยุโรป เกาหลีใต้ รวมถึงประเทศไทยก็มีการออกพันธบัตรเพื่อการลงทุนเพื่อความยั่งยืน 30,000 ล้านบาท
ต้องตีโจทย์สำคัญของ เศรษฐกิจและตลาดทุนไทย ให้แตก
ในตอนท้ายของการปาฐกถา สันติธาร ชี้ว่า
“โจทย์สำคัญของนโยบายตลาดทุน ตลาดเงินในโลกยุคใหม่ มองว่าจะต้องมีด้วยกัน 4 ข้อ โดยโจทย์แรก คือ
-
Competitiveness หรือการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
ต้องทำให้ประเทศไทยแข่งได้ในโลกใหม่ ด้วยเครื่องยนต์สำคัญ คือ เศรษฐกิจดิจิทัล วงการสตาร์ทอัพ จะเป็นกลุ่มที่สำคัญมาก ขณะเดียวกันตลาดทุน จะต้องไม่ใช่เพียงการระดมทุนเท่านั้น แต่ต้องมองบริษัทตั้งแต่การเป็นต้นกล้าว่าสตาร์ทอัพนั้นมีช่องทางเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่มากับเศรษฐกิจดิจิทัลหรือไม่
เช่น จะดึงดูดกองทุนประเภท venture capital เครือข่ายการลงทุน Angle Investor ที่มีทั้ง เงินทุน มีทั้งเครือข่าย และเข้าใจความเสี่ยงเป็นอย่างดีให้มาลงทุน สตาร์ทอัพของไทยมากขึ้นได้หรือไม่ จะพัฒนา การระดมทุนรูปแบบใหม่ ๆ เช่น การออกสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านบล็อกเชน โดยการหาสมดุลระหว่าง ความปลอดภัย ความเสี่ยงและการเสริมสร้างนวัตกรรม
นอกจากนี้ เรื่องคน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ด้านปัญญาประดิษฐ์ และด้านบล็อกเชน ซึ่งทั่วโลกมีความต้องการอย่างมาก โดยจะทำอย่างไรที่จะดึงคนเข้ามาตรงนี้ให้ได้ หรือพัฒนาทักษะคนในเรื่องเหล่านี้ ประกอบกับเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งปัจจุบันทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็มีการดำเนินการอยู่
โดยเฉพาะในเรื่องของ Digital ID เพื่อเพิ่มความสะดวกในแง่ของการยืนยันตัวตนผ่านช่องทางดิจิทัล ในการเปิดบัญชีจากที่ไหนก็ได้ อีกทั้งการกำกับดูแล โดยกฎหมายที่ล้าสมัย ถือว่าเป็นอุปสรรคต่อดิจิทัล จะต้องมีการแก้ไขให้ทันสมัยขึ้นด้วย
-
การลดความเหลื่อมล้ำ โดยตลาดทุน ตลาดเงินควรมีส่วนช่วยเสริมความเท่าเทียม e Quality
เทคโนโลยีจะมีบทบาทอย่างมาก โดยจะทำอย่างไรให้คนที่มีไอเดียแต่ไร้เงินทุน ซึ่งมีธุรกิจไร้หลักประกัน ขาดสลิปเงินเดือน ไม่มีบัตรเครดิต เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ผ่านการนำเอา Big Data มาสร้างเป็นคะแนนความน่าเชื่อถือ เพื่อลดการพึ่งพาหลักประกัน นำไปใช้ได้ในระบบธนาคาร ตลาดทุน รวมถึงช่วยฝั่งคนออมด้วย เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในการเข้าถึงบนิการการเงินได้
-
ESG ตลาดทุนต้องมีบทบาทมากขึ้นในการสร้างความยั่งยืน โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม
ผ่านการนำแนวคิดของต่างประเทศมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาให้เป็นศูนย์กลาง Green Finance ให้กับภูมิภาค CLMV โจทย์ที่
-
Resilience ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น ตลาดทุนจะต้องเข้ามาสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเศรษฐกิจ
อาจจะให้สถาบันการเงิน นักลงทุน มีการประเมินความเสี่ยงของพอร์ตของตนเองต่อภัยธรรมชาติ เช่น เมื่อเกิดน้ำท่วมขึ้น พอร์ตจะถูกกระทบเท่าไหร่ เป็นต้น รวมถึงพัฒนาเครื่องมือทางการเงินเพื่อเข้ามาช่วยความเสี่ยงดังกล่าว เช่นการพัฒนาตลาดพันธบัตรวินาศภัย ให้สามารถประกันความเสี่ยงได้
ที่สุดแล้ว “เทรนด์ 5D ที่ถูกเร่งขึ้นด้วยโควิด-19 ทำให้เราต้องมาคิดใหม่โดยมีโจทย์สี่ข้อ คือเรื่องของความยั่งยืนเรื่องของความเท่าเทียม เรื่องของความสามารถในการแข่งขันและ เรื่องของ Resilience”นายสันติธาร กล่าวสรุป
อ้างอิง :
- บทความเรื่อง “ดร.สันติธาร เตือน รับมือ เทรนด์ 5D เขย่าโลก” จาก เว็บไซต์ ฐานเศรษฐกิจ
- Facebook Live : สำนักงาน กลต. “งาน SEC Capital Market Symposium 2020”
- บทความเรื่อง “นักเศรษฐศาสตร์ มองโควิดหนุนเทรนด์ 5D เกิดเร็วขึ้น หนี้ท่วม-เหลื่อมล้ำ-ดิจิทัล” จาก สำนักข่าวอินโฟเควสท์
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก