ห้องเม่าปีกเหล็ก

คัด 7 หุ้นเด่น mai ที่น่าเข้าลงทุน

โดย missวิมลรัตน์
เผยแพร่ :
176 views

คัด 7 หุ้นเด่น mai ที่น่าเข้าลงทุน

เพื่อหวังผลตอบแทน Outperform ตลาด

 

.

นักวิเคราะห์ออกมาเปิดเผยถึงความน่าสนใจในการลงทุนหุ้น mai ต่อเนื่องถึง 2566 โดยประเมินว่าเริ่มลดลงและมีโอกาสกลับมา Underperform หุ้นใหญ่ทั้งจากสภาพคล่องในตลาดหุ้นที่ลดลงและการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบที่สะท้อนว่า mai Index ร้อนแรงเกินไป แต่ยังสามารถเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวมีการเติบโตต่อเนื่องหรือมี Theme การลงทุนที่ชัดเจนได้เช่น Digital Transformation, Reopening, Anti commodity

.

อ้างอิงจากการประเมินของนักวิเคราะห์หยวนต้า (ประเทศไทย) มีความเห็นว่า อิงจากสถิติ 5 ปีย้อนหลัง พบว่ากำไรสุทธิของ mai มักปรับตัวลงในไตรมาส 4 ของทุกปี เฉลี่ยลดลง 44% จากไตรมาสก่อน สาเหตุไม่ได้มาจากรายได้ เพราะส่วนใหญ่รายได้ยังโตจากไตรมาสก่อน แต่มาจากการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่าย ซึ่งสะท้อนผ่านอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยรายไตรมาสที่ทำได้แย่ลง เหลือเพียง 0.9% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยรายปีที่ทำได้ 3.1% อย่างมีนัยสำคัญ

.

ทั้งนี้เนื่องจากหลายบริษัทมักตั้งค่าโบนัสพนักงาน และมักถูกผู้สอบบัญชีตั้งด้อยค่าเงินลงทุนในไตรมาส 4 เมื่อผนวกกับ ปัจจัยด้านการปรับขึ้นของค่า Ft ที่ถูกกระทบเต็มไตรมาส (ค่า Ft เริ่มขึ้นเดือนก.ย. ทำให้ไตรมาส 3/65 รับรู้เพียง 1 เดือน) และกลุ่มสินค้าเกษตรที่เคยเติบโตดีจะถูกกดดันจากเงินบาทที่พลิกมาแข็งค่า ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/65 ของ mai จะลดลงจากไตรมาสก่อน เหมือนภาพในอดีต และด้วยความที่ฐานกำไรสุทธิไตรมาส 4/64 ใกล้เคียงกับไตรมาส 3/65 จึงทำให้เมื่อเทียบแบบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีโอกาสลดลงด้วยเช่นกัน

.

โดยหุ้นแนะนำรอบนี้ คัดเลือกจากปัจจัยเฉพาะตัวมากขึ้น เพราะภาพรวมหุ้นขนาดเล็ก ถูกกดดันจากสภาพคล่องโดยรวมที่ลดลง และการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบที่สะท้อนว่าหุ้นใน mai เริ่มอ่อนแรงเมื่อเทียบกับ SET ขณะที่ การปรับขึ้นของต้นทุนค่าไฟฟ้าและค่าแรงขั้นต่ำ มีผลต่อกำไรของบริษัทขนาดเล็กมากกว่าขนาดใหญ่ ปัจจัยคัดเลือกหุ้นคือ

.

1.Valuation ไม่แพง เมื่อเทียบอดีตหรือค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม 2. แนวโน้มผลประกอบการโตต่อเนื่องถึงปี 2566 3.ถูกกระทบจากต้นทุนค่าไฟฟ้า และการแข็งค่าของเงินบาทจำกัด 4 .มี Theme การลงทุนชัดเจน เช่น Digital Transformation, Reopening, Anti commodity ได้แก่ BBIK, DPAINT, IMH, MTW, SPA รวมถึงหุ้นนอก Coverage เช่น AMA, STP

.

“ในเชิงของกลยุทธ์การลงทุน จึงปรับน้ำหนักการลงทุนในหุ้น mai เป็น Underweight แต่ยังสามารถเลือกลงทุนได้ตามปัจจัยบวกเฉพาะตัวของแต่ละบริษัท หรือตามเกณฑ์ในการคัดเลือกหุ้นที่มี Theme การลงทุนชัดเจนตามที่ให้มุมมองไว้ในข้างต้นซึ่งตัวเลือกในการลงทุนที่มีจำกัด ยิ่งทำให้มั่นใจว่า 7 หุ้นที่คัดเลือกตามเกณฑ์ที่เข้มงวด จะ Outperform ตลาด maiได้ในไตรมาส 4/65”นักวิเคราะห์หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าว

.

สำรวจปัจจัยพื้นฐาน

BBIK โดยนักวิเคราะห์หยวนต้า (ประเทศไทย) มีความเห็นว่า คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาหุ้นแม้ปรับขึ้นร้อนแรงจากต้นปีถึงปัจจุบัน แต่ปัจจุบันซื้อ ขาย บน PEG66 ที่ 0.57x และ PEG67 ที่ 0.42 เท่า ยังต่ำเทียบกับการเติบโต ทำให้มองว่าหุ้นยังน่าสนใจ ดีลการควบรวมกิจการที่เกิดขึ้นเป็นรากฐานสำคัญให้ BBIK ต่อยอดการเติบโตเพื่อก้าวเข้าสู่ตลาด SET เพราะได้ทั้ง Scale รายได้ ได้ใช้ประโยชน์จากการใช้หนี้สิน และได้ทีมงานที่ต้องการมานาน

.

โดยปรับเพิ่มราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ขึ้นเป็น 170.00 บาทต่อหุ้น ประเมินการเติบโตปี 2567 ที่ 70% ทำให้ PER ถูกขยับเพิ่มขึ้น โดย Premium ระยะยาวที่ปรับให้เพิ่มขึ้นมาจากผลบวกมาจากการ M&A ที่ทำให้การเติบโตระยะยาวชัดเจนขึ้น ดังนั้นปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2566-2567 เป็น 262 ล้านบาท ( โต 103%จากปีก่อน) และ 446 ล้านบาท (โต 70% จากปีก่อน) ตามลำดับ หลักๆมาจากการใส่สมมติฐานธุรกิจ Innoviz และ VDD เข้าไว้ในประมาณการ

.

DPAINT โดยนักวิเคราะห์หยวนต้า (ประเทศไทย) มีความเห็นว่า แนวโน้มไตรมาส 4/65 เบื้องต้นคาดกำไรเติบโตต่อทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อนจาก 1. ปัจจัยฤดูกาลที่ผ่านพ้นช่วง Low Season และคนกลับมาซ่อมแซมบ้านมากขึ้นหลังน้ำลด

.

2. บริษัทเตรียมออกสินค้าใหม่ตัวความหวังเพิ่มเติมหนุนรายได้ 3.รับรู้ผลของต้นทุนหลักที่ปรับลดลงได้มากขึ้น อาทิไทเทเนียมไดออกไซด์ และส่วนผสมอื่นๆที่ล้อตามกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และ 4.ได้อานิสงส์จากค่าเงินบาทเทียบ USD ที่มีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้น ช่วยลดต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบ ทำให้ประเมินว่าประมาณการกำไรทั้งปีอาจมี Upside ราว 5-10% ซึ่งทำให้กำไรทั้งปี 2565 อาจไม่ได้ชะลอลงจากปีก่อน เหมือนที่คาดไว้ที่ระดับ 52 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนอยู่ที่ 53 ล้านบาท คงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 13.50 บาท แนะนำ “ซื้อ”

.

IMH โดยนักวิเคราะห์หยวนต้า (ประเทศไทย) มีความเห็นว่า คาดผลประกอบการในไตรมาส 4/65 จะฟื้นเด่นจากไตรมาสก่อน ผลบวกจากการระบาดของ COVID-19 การฟื้นตัวของธุรกิจตรวจสุขภาพ การเปิดคลินิกเวชกรรม แต่คาดชะลอตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะฐานสูง

.

ส่วนแนวโน้มปี 2566 แม้ประเมินว่าผลประกอบการจะชะลอตัวจากฐานสูง แต่ฐานรายได้ถือว่าสูงกว่าช่วงก่อน COVID-19 กว่า 41% นอกจากนี้ยังมี upside ที่ยังไม่รวมในประมาณการจากแผน M&A และแผนสร้าง โรงพยาบาลใหม่ IMH แบริ่ง คงคำแนะนา “ซื้อ” ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2566 ที่ 16.50 บาท และราคาปัจจุบันคาดผลตอบแทนจากปันผลงวดปี 2565 ที่ 4.3% ปี 2566 ที่ 3.1%

.

MTW นักวิเคราะห์หยวนต้า (ประเทศไทย) มีความเห็นว่าราคา IPO ที่ 2.88 บาท เทียบเท่า PER66 ที่เพียง 11.3 เท่า ถือว่าต่ำ มากเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโต แบบ Exponential จากการเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ที่เป็นเทรนด์ของโลก และมีความเป็นทั้งหุ้นเติบโตและหุ้นเทคโนโลยีที่หาได้ยากในประเทศไทย

.

ทั้งนี้ใช้วิธี DCF ในการประเมินมูลค่าด้วย WACC ที่ 8.9% จาก การใช้กระแสเงินสดอิสระ 3 ปีถึงปี 2569 เพื่อความ Conservative เนื่องจากการใช้กระแสเงินสดที่ มากกว่านั้นจะได้ราคาเหมาะสมที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นแต่ก็อาจต้องใช้ เงินลงทุนที่มากขึ้นเช่นกัน ส่วนการใช้ PER ไม่มีธุรกิจที่เทียบเคียงได้ใกล้เคียงที่สุด หากพิจารณาที่หุ้น ยานยนต์ EV ในประเทศ ต่างประเทศ และ PER ของ MAI จะได้ PER สูงถึง 40 – 60 เท่า ดังนั้นจึง ใช้ DCF ด้วยกระแสเงินสดถึงปี 2569 ได้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 9.00 บาท เทียบเท่า PER66 เพียง 35.3 เท่า เริ่มต้นคำแนะนำ ซื้อ

.

SPA นักวิเคราะห์หยวนต้า (ประเทศไทย) มีความเห็นว่า แนวโน้มไตรมาส 4/65 คาด SPA มีโอกาสกลับมาทำกำไรปกติเป็นครั้งแรกหลังจากเกิด COVID-19 หนุนจากการเข้าสู่ช่วง High Season ของการท่องเที่ยวไทยในสภาวะที่มีการเปิดประเทศเต็มตัว คงประมาณการและคงคำแนะนำ “TRADING” อิงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 11.90 บาทต่อหุ้น หากหุ้นพักตัวลงมาในช่วงกรอบราคา 10.00 บาทต่อหุ้น (แบบบวกลบ) แนะนำ นักลงทุนทยอยสะสม

 

 


missวิมลรัตน์