‘กูรู’แนะปรับพอร์ตลงทุนทันโลก กระจายเสี่ยง‘หุ้น-คริปโท-ตราสารหนี้’
4 กูรู” มองการลงทุนใน “โลกเก่า” และ “โลกใหม่” จัดสรรพอร์ตที่ดีของอยู่ที่การเรียนรู้ให้มาก และมีความเข้าใจในสินทรัพย์นั้น ๆ อย่างแท้และบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เพื่อให้ความมั่งคั่งยั่งยืนอยู่ได้ แม้ในวันที่โลกสั่นคลอน

แม้ความผันผวนจาก “เศรษฐกิจโลก” จะถาโถมเข้ามาอย่างหนักในช่วงนี้ ทำให้พอร์ตการลงทุนนั้นสั่นคลอน การลงทุนใน “โลกเก่า” และ “โลกใหม่” แบบใหม่จะให้ผลกำไรได้ดีกว่ากัน “กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ โพสต์ทูเดย์” จัดงานสัมมนา Thailand Investment Forum 2025: Great Depression พลิกเกมฝ่าวิกฤติ ภายใต้หัวข้อสัมนา Battle : ลงทุนโลกเก่า VS โลกใหม่ ใครรุ่ง ใครร่วง ? ซึ่ง “4 กูรู” ว่ามองว่า การจัดสรรพอร์ตที่ดีของอยู่ที่การเรียนรู้ให้มาก และมีความเข้าใจในสินทรัพย์นั้น ๆ อย่างแท้และบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เพื่อให้ความมั่งคั่งยั่งยืนอยู่ได้ แม้ในวันที่โลกสั่นคลอน
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันเราอยู่ในยุคของการลงทุนโลกปัจจุบันที่สินทรัพย์หลากหลายทีผ่านมาสินทรัพย์ดั้งเดิม ประกอบด้วย หุ้นพื้นฐาน ตราสารหนี้ ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีมูลค่าจากกระแสเงินสดที่จับต้องได้จาก “ปันผล” และมูลค่าที่ประเมินได้จริง สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้มูลค่าและจังหวะที่เหมาะสมในการลงทุน
และหลัง 2008 เกิดสินทรัพย์ดิจิทัลขึ้นมาเป็นภาพของนวัตกรรม และให้มูลค่าในตัวเอง และในยุคหลังถือว่าได้รับการตอบรับค่อนข้างดี และในฝั่งเอเชีย และตลาดเกิดใหม่นโยบายการเงินจะลงเร็วมาก ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายจะลดลงเร็วกว่าทรัมป์ 1.0
ดังนั้น ถ้าเราจะลงทุนในยุคปัจจุบัน ควรกระจายการลงทุนไปใน “ตราสารหนี้” เป็นโอกาสที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในฝั่งเอเชีย เนื่องจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจะทำให้ดอกเบี้ยลดลงเร็ว แม้แต่ตราสารหนี้สหรัฐฯ ก็ยังน่าลงทุน แต่ต้องพิจารณาจังหวะเวลา
ขณะที่หุ้นกำลังอยู่ในช่วงฟอร์มตัวและเงินยังไม่เข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากนัก เพราะตลาดยังอยู่ในช่วงประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ การฟื้นตัวของหุ้นจำเป็นต้องมีปัจจัยกระตุ้นจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลัง
ทั้งนี้ แนะนำกระจายสินทรัพย์จัดพอร์ตแบบ Barbell Portfolio โดยแบ่งสัดส่วน 60% Core Portfolio ลงทุนในสินทรัพย์โลกปัจจุบัน เช่น ตราสารหนี้ หุ้นสามัญ และหุ้นกลุ่มตั้งรับ เช่น สาธารณูปโภคและสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเติบโตตามขนาดเศรษฐกิจได้ในระยะกลาง-ยาว อีก 30% Megatrend หรือ Narrative Investment ลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีที่เติบโตสูง โครงสร้างพื้นฐาน หรือกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการนำ AI มาใช้งาน และ 10% ลงทุนสินทรัพย์ยุคใหม่ใน Digital Asset หรือใช้กลไกอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยง
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ปัจจุบันหรือสินทรัพย์ใหม่ไม่ควรมองข้ามสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง ควรมีสินทรัพย์ทุกประเภทในพอร์ตเพื่อการเรียนรู้ แม้ว่าสินทรัพย์นั้นอาจจะ Underperform ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก็ตาม และเชื่อว่าไม่มีสินทรัพย์ใดที่ตายไปตลอดในวงจรของตัวมันเอง
ยกตัวอย่าง ตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่เคยถูกมองว่าเป็น lost decade และถูกคาดการณ์ว่าจะไม่น่าลงทุน แต่กลับสามารถทำ New High ได้หลังโควิด-19 รวมถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนที่เริ่มฟื้นตัวจากภาวะชะลอตัว ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐยังคง Perform ได้ดีอยู่ แม้ว่าอาจจะไม่ได้ทำ New High อย่างรุนแรง แต่หุ้นสหรัฐอาจจะอยู่ในช่วงที่เปลี่ยนจากขาขึ้นแรงๆ ไปเป็นการเคลื่อนไหวแบบ Sideway ที่มีความผันผวนสูง
ขณะที่ตราสารหนี้ในช่วงสถานการณ์ผันผวน ยีลด์สหรัฐและญี่ปุ่นปรับตัวเพิ่มขึ้นผิดปกติ ซึ่งมองว่าเป็นโอกาสก็สามารถคิดในมุมนี้ได้ แต่ยังมองว่ายังมีวิกฤติของสหรัฐ และการเสื่อมค่าของดอลลาร์แต่จะไม่เร็ว โดยแนะนำต่อตลาดหุ้นไทย ว่า ควรมีหุ้นไทยไว้ในพอร์ตประมาณ 0-10% และไม่ควรเกินนี้ในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยประเมินระดับ 1,080-1,100 จุด เป็นจังหวะที่ควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยประมาณ 10% หากดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 1,275-1,300 จุด แนะนำให้ลดสัดส่วนหุ้นไทยลงเหลือ 0% เพราะในปัจจุบัน SET Index อาจจะไม่ใช่ Core Portfolio แต่เป็น Satellite Portfolio
“การเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญ หากขาดทุนจากการลงทุนในสินทรัพย์ใด ก็ขอให้ถือเป็นการเรียนรู้ และควรกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งหุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ และแม้แต่หุ้นไทยในสัดส่วนที่เหมาะสม”
นายพิริยะ สัมพันธารักษ์ ผู้ก่อตั้ง Right Shift และกรรมการผู้จัดการ บริษัท CDC chalokDotCom เปิดเผยว่า Bitcoin แตกต่างจากสินทรัพย์ดิจิทัลหรือ Cryptocurrency สกุลอื่นๆ โดย Bitcoin มีพื้นฐานคือเป็น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือ Commodity ที่สามารถใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนและเป็นแหล่งเก็บรักษามูลค่า หรือพูดง่ายๆ คือเป็นเงิน และเป็นเงินที่เหนือกว่าเงินเฟียต
โดย Bitcoin ถูกสร้างขึ้นมาด้วยพื้นฐานที่แตกต่าง โดยเป็นเงินในรูปแบบดิจิทัลที่ตอบโจทย์การใช้งานในโลกปัจจุบัน ขณะที่ทองคำไม่สามารถใช้เป็นเงินในโลกดิจิทัลปัจจุบันได้อีกต่อไป เช่น การซื้อของออนไลน์ Bitcoin แก้ปัญหานี้ด้วยการเป็นเงินดิจิทัลที่ไม่สามารถโกงได้ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้มีลักษณะเหมือนสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผลิตจากธรรมชาติ
ทั้งนี้ การลงทุนใน Bitcoin ไม่ใช่เพื่อการเก็งกำไร แต่เป็นเครื่องมือสำหรับการเก็บออมที่ดีที่สุด และโลกกำลังขาดเครื่องมือนี้ เพราะเงินเฟียต กำลังถูกขโมยมูลค่าไปทุกวินาที หากยังไม่เข้าใจ Bitcoin อย่างน้อยก็ควรเก็บออมในรูปของทองคำเป็นทางเลือกที่ดี สำหรับการเก็บรักษามูลค่า ดังนั้นหากใช้บิตคอย์เป็นเครื่องมือในการเก็บออมจะไม่มีคำว่าลงทุนหรือกำไร เพราะเรากำลังเก็บเงินเหมือนการหยอดกระปุก แต่ทว่านักลงทุนอาจจะเกิดความกังวลใจเมื่อวัดบิตคอยน์เป็นค่าเงินดอลลาร์เพราะเกิดความผันผวนมาก แต่ถ้าเราเปลี่ยน Mindset ก่อนว่า เงินที่ดีต้องรักษามูลค่า
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนและรักษามูลค่าด้วย Bitcoin มองเป็นสินทรัพย์โลกยุคใหม่ที่มีความผันผวนสูง นักลงทุนทุกคนควรศึกษา Bitcoin อย่างจริงจัง โดยตั้งคำถามว่า “เงินคืออะไร” และ “Bitcoin คืออะไร” เพราะหากไม่มีความเข้าใจที่ลึกซึ้ง จะไม่สามารถถือ Bitcoin ได้เมื่อเจอความผันผวน
ส่วนแนวทางการจัดพอร์ตและมุมมองอนาคตนักลงทุนสามารถทำกำไรจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้แล้วไม่ควรเก็บกำไรในรูปของสกุลเงิน แต่ควรเปลี่ยนเป็นทองคำหรือ Bitcoin เพราะการถือเงินสดถือว่า โง่มาก เนื่องจากมูลค่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าในอนาคตทุกอย่างจะเป็น Bitcoin หมด ดังนั้นการลงทุนใน Bitcoin มองเป็นเครื่องมือเก็บออมเพราะมันคือการหยอดกระปุก หากต้องการรักษามูลค่าเงิน ควรเริ่มทำความเข้าใจ Bitcoin เพราะการถือเงินบาทก็เหมือนการถือเผือกร้อนที่เราไม่อยากถือไว้
นายโฉลก สัมพันธารักษ์ ผู้ก่อตั้งชมรม cdcchalok.com ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Technical Analysis เปิดเผยว่า ยืนยัน Bitcoin คือของจริงหรือเงินจริง และทุกสกุลเงินในโลกจะวิ่งเข้าหาศูนย์เมื่อเทียบกับ Bitcoin ซึ่งทุกคนต้องมี Bitcoin ในสัดส่วนที่เท่ากับความรู้ความเข้าใจที่มี ซึ่ง Money Management และ Mindset ว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการลงทุน และราคา Bitcoin ที่ 100,000 ดอลลาร์เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ขณะที่ Technical สามารถนำมาใช้ได้จริงว่า สินทรัพย์ใดจะไปได้ แม้ว่าในบางคร้ังอาจจะเดินผิดทางไปบ้าง และเราต้องมี Money Management และควรมีการแยกบัญชี ไม่ใช่ซื้อขายอยู่ในบัญชีเดียวกันหมด ควรแยกบัญชีลงทุนเป็น ระยะยาว ระยะกลาง และระยะสั้น เนื่องจากจุดเข้าและจุดออกไม่เหมือนกัน ซึ่งที่ผ่านมาสิ่งเหล่านี้คนมักไม่ได้ให้ความสำคัญ เพราะถ้าเรามีสิ่งนี้หากผิดก็ผิดแค่บัญชีเล็ก แต่บัญชีใหม่เป็นบัญชีที่มีขาลงก่อนจะขึ้น จะต้องลงมาครบฟันดาเมนทอล และกราฟคอนเฟิร์มเรียบร้อย และถึงจุดที่มีการเปลี่ยนเทรนด์ และรอให้ CDC แอกชั่นโซนเป็นสีเขียว และเมื่อครบทุกอย่างแล้ว จึงเป็นสัญญาณซื้อเพื่อเข้าบัญชีระยะยาว หรือบัญชีระยะกลาง แต่ทว่าไม่สัญญาณอะไรเลย แต่กลับเด้งขึ้นไปก็ให้นำเข้าบัญชีระยะสั้น หรือบัญชีเล็ก ดังนั้น Money Management ถือว่าสำคัญ
ดังนั้น การเทรด Technical Analysis ไม่ใช่การดูกราฟเพียงอย่างเดียว นั่นหมายถึง Money Management และ Mindset สำคัญมาก และการควบคุมความโลภและความกลัวถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุนเช่นกัน มากกว่าการดูว่าหุ้นขึ้น หรือลงเป็นสิ่งที่นำมาประกอบ นอกจากนี้ การลงทุนที่ไม่ให้การทุนในการเทรดจะมีระบบ หรือมีโปรแกรมฟรีให้ได้ใช้ ดังนั้นจึงมองไม่ออกเลยว่า ทำไมถึงขาดทุน
แต่ทว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือ เมื่อได้กำไรแล้วจะเก็บกำไรไว้ในรูปแบบอะไร หากเก็บเป็นเงินสดถือว่า พลาด เพราะมันด้อยค่าลงเรื่อย ๆ ควรเก็บเป็นบิตคอยน์หรือทองคำ ในช่วงปี 1971 ถึงปัจจุบันค่าของเงินลดลงไปแล้วกว่า 99.99% เรียบร้อยแล้ว
“การเก็บกำไรในรูปของสกุลเงินกระดาษ เช่น เงินบาท หรือดอลลาร์ มูลค่าจะเสื่อมลงตลอดเวลา แต่ควรเปลี่ยนเป็น ทองคำ หรือ Bitcoin เพื่อรักษามูลค่า ทั้งนี้มองว่า เทรนด์ในอนาคตจะเป็นบิตคอยน์หมด แม้ว่าเราจะลงทุนในหุ้น และเมื่อได้กำไรตามที่ต้องการก็นำมาเก็บออมไว้ในบิตคอยน์ และทองคำ อย่างไรก็ตาม มุมมองกราฟทางเทคนิค ณ ปัจจุบัน Bitcoin กำลังอยู่ในช่วงขาลงเล็กน้อย เพื่อหาฐาน”
อย่างไรก็ตาม มองเห็นบิตคอยน์เป็นของจริงตั้งแต่ปี 2013 โดยในช่วงนั้นมีช่วงนั้นมีการแจกบิตคอยน์เป็นอังเป่า และได้ลงทุนแจกเครื่องขุดบิตคอยน์ให้กับให้นักเรียนในชมรม เพราะต้องการพยายามให้ได้เรียนรู้ว่า บิตคอยน์คือของจริง หรือเทียบกับเป็นเงินของจริงสิ่งเดียว และมองว่า เงินที่มองว่า เป็นของจริงก็จะไม่ใช่ของจริง และเน้นย้ำว่า ทุกคนต้องมีบิตคอยน์ โดยมีเท่าที่คน ๆ นั้นจะมีความรู้ จะเห็นได้ว่า จากวันนั้นจากศูนย์ ปัจจุบันไปถึง 100,000 ดอลลาร์ และมองว่าในระยะยาวยังไปได้อีกมาก
ทีมา.. https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1183879