S&P 500 ทะยานใกล้ All-Time High หวังเฟดลดดอกเบี้ย | Podcast Available
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทะยานต่อ! ความหวัง Fed ลดดอกเบี้ย หนุนตลาดคึกคัก
เมื่อวานนี้ บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงสดใสต่อเนื่องนะคะ ดัชนีหลักๆ พากันปรับตัวขึ้นกันอย่างคึกคัก โดยดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นอีก 0.4% นับเป็นการบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 แล้ว และตอนนี้ก็ขยับเข้าไปใกล้จุดสูงสุดตลอดกาล (All-time high) เหลืออีกแค่ประมาณ 4% เท่านั้นเองค่ะ
ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมอย่าง Dow Jones ก็ไม่น้อยหน้า บวกไปถึง 0.65%
ส่วนดัชนี Nasdaq 100 (ที่เน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม) ก็มีการแกว่งตัวที่น่าสนใจ จากที่เคยอยู่ในภาวะ ตลาดหมี (Bear Market) หรือช่วงที่ตลาดโดยรวมปรับตัวลง ก็พลิกกลับเข้ามาสู่ ตลาดกระทิง (Bull Market) หรือช่วงที่ตลาดโดยรวมเป็นขาขึ้นได้แล้วค่ะ

อะไรคือเบื้องหลังความร้อนแรงนี้? ทำไมนักลงทุนถึงกลับมาใจฟู?
หัวใจสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ ความคาดหวังที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ "เฟด" (Fed) ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจของอเมริกา อาจจะตัดสินใจ ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 2 ครั้งภายในปีนี้
ซึ่งการลดดอกเบี้ยก็เหมือนการลดต้นทุนการกู้ยืมเงิน ทำให้บริษัทต่างๆ มีแรงจูงใจในการลงทุนมากขึ้น และผู้บริโภคก็อาจจะกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นเกราะป้องกันเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ให้เข้าสู่ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หรือก็คือสภาวะที่เศรษฐกิจหดตัว การจับจ่ายใช้สอยน้อยลง คนว่างงานมากขึ้นนั่นเองค่ะ
สัญญาณเตือนจากตัวเลขเศรษฐกิจ: "ข่าวร้าย" ที่กลายเป็น "ข่าวดี" ของตลาด?
สิ่งที่มาเติมเชื้อไฟให้กับความหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยก็คือตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดหลายตัวที่ออกมาดู "ไม่ค่อยสวย" เท่าไหร่ แต่นี่แหละค่ะที่นักลงทุนมองว่าเป็นสัญญาณว่าเฟดอาจจะต้องยื่นมือเข้าช่วยพยุงเศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ย ลองมาดูกันทีละตัวนะคะ
ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI): ดัชนี PPI ของสหรัฐฯ ลดลงแบบที่หลายคนไม่ได้คาดการณ์ไว้ แถมยังเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 5 ปี นี่อาจจะแปลว่าแรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อในฝั่งผู้ผลิตเริ่มเบาลง หรือบริษัทต่างๆ อาจจะกำลังแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นจาก กำแพงภาษี (Tariffs) หรือภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ตั้งไว้กับสินค้าจากบางประเทศไว้เองส่วนหนึ่ง เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้บริโภคมากเกินไป
ยอดค้าปลีก (Retail Sales): ตัวเลขนี้สะท้อนการจับจ่ายใช้สอยของคนทั่วไป ซึ่งพบว่า อัตราการเติบโตชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด แปลว่าคนเริ่มระมัดระวังการใช้เงินมากขึ้น
การผลิตภาคโรงงาน (Factory Production): ตัวเลขการผลิตในโรงงานต่างๆ ก็ ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน
ความเชื่อมั่นของผู้สร้างบ้าน (Homebuilders Confidence): ความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ประกอบการสร้างบ้านก็ ลดลงเช่นกัน
คุณแซคคารี กริฟฟิธส์ จาก CreditSights Inc. สรุปปรากฏการณ์นี้ได้น่าสนใจว่า "ข่าวร้าย (ของเศรษฐกิจ) คือข่าวดีสำหรับตลาดพันธบัตร" เพราะข้อมูลที่อ่อนแอเหล่านี้แหละค่ะที่ทำให้ตลาดมองว่าเฟดมีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ย
ตลาดสินทรัพย์อื่นๆ ตอบสนองอย่างไร?
ตลาดพันธบัตร คึกคักสุดๆ ค่ะ! โดยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งนักลงทุนมักจะมองว่าเป็น สินทรัพย์ปลอดภัย ในยามที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน มีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่น "ทั่วทั้งกระดาน" (across the curve) เลยค่ะ
หมายความว่าไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรระยะสั้น กลาง หรือยาว ก็มีคนเข้าไปซื้อหมด ทำให้ราคาพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น และกดดันให้ อัตราผลตอบแทน (Yield) ลดลง โดยเฉพาะ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นเหมือนมาตรวัดสำคัญของตลาด ก็ลดลงถึง 10 เบสิสพอยต์ (0.10%) มาอยู่ที่ 4.43% ส่วนพันธบัตรอายุ 2 ถึง 10 ปีอื่นๆ อัตราผลตอบแทนก็ลดลงในระดับเดียวกัน
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ: อ่อนค่าลงประมาณ 0.2% เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลักอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ค่ะ เพราะเมื่อตลาดคาดว่าดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะลดลง ความน่าสนใจในการถือครองเงินดอลลาร์เพื่อรับผลตอบแทนก็ลดลงไปด้วย
ราคาน้ำมันดิบ West Texas (WTI): ปรับตัวลดลง 2.1% ไปอยู่ที่ประมาณ $61.80 ต่อบาร์เรล หลังจากมีข่าวว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่าสหรัฐฯ และอิหร่านใกล้จะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งถ้าตกลงกันได้จริงๆ ก็อาจจะมีอุปทานน้ำมันจากอิหร่านเข้ามาในตลาดมากขึ้น
ราคาทองคำ: ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอีกตัว ทองคำก็ปรับตัวขึ้นเช่นกันค่ะ โดยราคาทองคำสปอตเพิ่มขึ้น 1.7% ไปอยู่ที่ $3,231.82 ต่อออนซ์
เจาะลึกบรรยากาศในตลาดหุ้น: ความหวัง ความกังวล และการปรับกลยุทธ์
แม้ว่าภาพรวมตลาดหุ้นจะดูดีขึ้นมาก จนคุณลามาร์ วิลเลอร์ ผู้จัดการพอร์ตลงทุนที่ Villere & Co. ถึงกับบอกว่า "ผมไม่อยากจะตื่นเต้นเกินไป แต่เราอาจจะได้กลับมาโฟกัสที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจริงๆ จังๆ สักพักในช่วงซัมเมอร์นี้ ถ้ามีคนบอกผมเมื่อเดือนที่แล้วว่าตลาดหุ้นจะกลับมาเป็นบวกได้ในปีนี้ ตอนที่ลูกๆ ผมสอบเสร็จพอดี ผมคงจะบอกว่าเขาโกหก"
แต่ภายใต้ความคึกคักนี้ ก็ยังมีความ "ระมัดระวัง" แฝงอยู่ลึกๆ ค่ะ นักวิเคราะห์หลายคนเริ่มกังวลว่าการที่ตลาดปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงอาจจะทำให้ ตลาดร้อนแรงเกินไปได้
สิ่งที่น่าจับตามองคือ การที่นักลงทุนเริ่มหมุนกลุ่มลงทุนจากหุ้นเติบโตสูงๆ ไปยัง "หุ้นปันผลเชิงรับ" มากขึ้น หุ้นกลุ่มนี้ก็คือหุ้นของบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และมักจะทนทานต่อความผันผวนของเศรษฐกิจได้ดีกว่า เช่น หุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น หรือกลุ่มสาธารณูปโภค ซึ่งก่อนหน้านี้อาจจะดูไม่หวือหวาเท่าหุ้นเทคโนโลยี แต่ตอนนี้กลับมาเป็นที่สนใจ
ส่วนกลุ่มหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ 7 บริษัท หรือที่เรียกกันติดปากว่า "Magnificent Seven" โดยรวมแล้วดัชนีที่ติดตามหุ้นกลุ่มนี้ ปรับตัวลดลง 1.1% ส่วนหนึ่งมาจากข่าวที่ Meta Platforms มีรายงานว่าจะ เลื่อนการเปิดตัวโมเดล AI ตัวเรือธง ออกไปก่อน
นอกจากนี้ Applied Materials Inc. ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ ก็ให้คาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตที่ค่อนข้างระมัดระวัง
แต่ก็มีข่าวดีจากเพื่อนบ้านทางเหนือนะคะ ตลาดหุ้นแคนาดาทำสถิติใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยการปรับตัวขึ้นติดต่อกันถึง 8 วัน
เสียงสะท้อนจากผู้เชี่ยวชาญและสถาบันการเงิน
คุณเจมี่ ค็อกซ์ จาก Harris Financial Group: มองว่า "แม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง แต่ภาวะ Disinflation (เงินเฟ้อชะลอตัวลง แต่ยังเป็นบวก คือของยังแพงขึ้นแต่ในอัตราที่ช้าลง) ยังคงอยู่ ดังนั้นใครที่กังวลเรื่อง Stagflation (ภาวะที่เศรษฐกิจไม่เติบโตหรือเติบโตต่ำ แต่เงินเฟ้อสูง) ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดยังไม่ได้ยืนยันสมมติฐานนั้น"
ผู้ว่าการเฟด คุณไมเคิล บาร์: กล่าวว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมยังแข็งแกร่ง แต่ก็เตือนว่า ปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับภาษี อาจจะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงและเงินเฟ้อสูงขึ้นได้
คุณเจมี ไดมอน CEO ของ JPMorgan: ย้ำว่าความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้าและกำแพงภาษี "หวังว่าเราจะหลีกเลี่ยงมันได้ แต่ผมยังไม่ตัดความเป็นไปได้นี้ออกไปในตอนนี้ ถ้ามันเกิดภาวะถดถอยขึ้นจริง ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะรุนแรงแค่ไหน หรือจะยาวนานเท่าใด"
สถาบันการลงทุน Wells Fargo: ยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อตลาดหุ้น โดยคาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายภาษีของทรัมป์ และการเติบโตของกำไรบริษัท จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้อีกในช่วงที่เหลือของปีนี้ (2025) และปีหน้า (2026)
โดย WFII ได้ให้เป้าหมายดัชนี S&P 500 ปลายปี 2025 ไว้ที่ช่วง 5,900 - 6,100 จุด และสำหรับ ปลายปี 2026 คาดว่าจะไปถึง 6,400 - 6,600 จุด พวกเขาย้ำว่า "มุมมองเชิงบวกของเราต่อตลาดหุ้น ไม่ได้หมายความว่าทุกพื้นที่ในตลาดจะปลอดภัยทั้งหมด" โดยยังคงเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดใหญ่และขนาดกลางของสหรัฐฯ
คุณโซลิตา มาร์เซลลี จาก UBS Global Wealth Management: ให้ข้อสังเกตว่า การที่หุ้นจะปรับตัวขึ้นไปอีกจากระดับราคาสูงๆ ในปัจจุบันอาจจะยากขึ้น ดังนั้น การที่ ต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวน (Volatility hedges) ยังค่อนข้างต่ำในตอนนี้ ถือเป็นโอกาสให้นักลงทุนสร้างเกราะป้องกันพอร์ตการลงทุนจากความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อน โดยเฉพาะจากความไม่แน่นอนของเรื่องภาษี
คุณจอร์จ ซาราเวลอส หัวหน้านักกลยุทธ์สกุลเงินระดับโลกของ Deutsche Bank: แสดงความกังวลว่า การที่สหรัฐฯ ยังคงมี การขาดดุลงบประมาณในระดับสูง
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มไม่ค่อยอยากจะเข้ามาซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อช่วยอุดหนุนการขาดดุลนี้เหมือนเมื่อก่อน กำลังสร้าง "ปัญหาร้ายแรง" ให้กับค่าเงินดอลลาร์และตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ในระยะยาว
ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้า
ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นในช่วงนี้คือ ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ดูเหมือนจะผ่อนคลายลงบ้างและทำเนียบขาวก็ดูเหมือนจะมีท่าทีที่อ่อนลงในการเจรจาการค้า อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่ามาตรการภาษีที่มีอยู่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไร หรือทิศทางของสงครามการค้าโลกจะเป็นอย่างไรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่าอินเดียได้ยื่นข้อเสนอที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาข้อตกลงทางการค้าเลยทีเดียวค่ะ
ข่าวเด่นรายบริษัทที่ควรรู้
Walmart (วอลมาร์ท): ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกยังคงรายงานยอดขายและกำไรที่แข็งแกร่ง แต่ก็ออกมาเตือนว่าผลกระทบจากกำแพงภาษีและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้บริษัทจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้า
UnitedHealth Group (ยูไนเต็ดเฮลท์ กรุ๊ป): บริษัทประกันสุขภาพยักษ์ใหญ่ ราคาหุ้นดิ่งลงหนักหลังมีรายงานว่ากำลังถูกสอบสวนคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกงโครงการ Medicare
Dick’s Sporting Goods / Foot Locker: สองยักษ์ใหญ่ค้าปลีกสินค้ากีฬา โดย Dick’s Sporting Goods ได้บรรลุข้อตกลงมูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์เพื่อเข้าซื้อกิจการ Foot Locker ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ได้รับผลกระทบจากสงครามภาษี
Apple (แอปเปิ้ล): อดีตประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่าเขาได้ขอให้ ทิม คุก CEO ของ Apple หยุดสร้างโรงงานในอินเดียเพื่อผลิตสินค้าสำหรับขายในสหรัฐฯ และผลักดันให้ Apple เพิ่มการผลิตในประเทศมากขึ้น ในขณะที่บริษัทกำลังพยายามลดการพึ่งพาจีน
Coinbase (คอยน์เบส): แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี ราคาหุ้นร่วงลง 7.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่าแฮกเกอร์ได้ติดสินบนพนักงานเพื่อขโมยข้อมูลลูกค้า และเรียกค่าไถ่ถึง 20 ล้านดอลลาร์ ซึ่งบริษัทปฏิเสธที่จะจ่าย นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าผู้บุกรุกสามารถเข้าถึงข้อมูลได้เกือบตลอดเวลาตั้งแต่เดือนมกราคม ซึ่งบริษัทโต้แย้งคำกล่าวอ้างนี้ นอกจากนี้ Coinbase ยังระบุว่ากำลังให้ความร่วมมือกับการสอบสวนของ ก.ล.ต. สหรัฐฯ (SEC) เกี่ยวกับตัวชี้วัดผู้ใช้งานของบริษัท
Alibaba Group Holding Ltd. รายงานรายได้รายไตรมาสเติบโตเพียง 7% ซึ่งน่าผิดหวังและต่ำกว่าคาด สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในจีน
สรุปและความเห็นส่วนตัว
การที่ตลาดคาดหวังว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยถือเป็นข่าวดีที่ช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุน แต่ในขณะเดียวกัน ตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงก็เป็นสัญญาณเตือนที่เราจะมองข้ามไม่ได้ค่ะ
ถึงแม้แอดจะเขียนถึงหุ้นสหรัฐฯ ซะเยอะ แต่เราอย่าลืมหลักการสำคัญคือ "อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว" หรือก็คือการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภทนะคะ โดยในตอนนี้ตัวอื่นๆ ที่มีโอกาสอยู่คือ ตลาดหุ้นอินเดีย หุ้นจีน (H-Shares) และตราสารหนี้โลกค่ะ
ปล. เมื่อทุกอย่างคลี่คลาย ATH ก็แค่หน้าปากซอยแหละ (แต่สำหรับบางตลาดอาจจะคือ ยอดดอยเอเวอเรสต์นะ
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก.. เพจBeauty Investor