อุปสงค์’ และ ‘ต้นทุน’ เกี่ยวข้องอย่างไรกับเงินเฟ้อและหุ้น


.
บอกไว้ตั้งแต่ย่อหน้าแรกเลยนะครับ ว่าเนื้อหาที่จะเขียน ไม่ใช่การวิเคราะห์ ว่าถ้าเงินเฟ้อพุ่งไปเท่าโน้นเท่านี้ แล้วราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร แต่จะเป็นการหยิบยกเหตุผลที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ไปเทียบเคียงกับเหตุผลที่ทำให้หุ้นขึ้นหรือตก
.
เงินเฟ้อถูกพูดถึงบ่อยมากโดยเฉพาะในปี 2565 นี้ ดังนั้น ทุกคนคงเข้าใจกันดีแล้วว่า เงินเฟ้อคือภาวะที่ข้าวของราคาแพงขึ้น บริการต่างๆ ราคาแพงขึ้น
.
ถ้าถามถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิด “เงินเฟ้อ” ก็สามารถอธิบายได้ด้วยหลักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น คือเรื่องของ “ดีมานด์-ซัพพลาย” หรือ “อุปสงค์-อุปทาน” นั่นเอง
.
ในเรื่องของดีมานด์หรืออุปสงค์ ถ้าสินค้าหรือบริการใดมีความต้องการมาก โดยที่ราคาไม่ได้ถูกตรึงไว้ ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ราคาสินค้าหรือบริการนั้นย่อมถูกดึงให้ปรับสูงขึ้น (ในรูปแบบเดียวกับการประมูลซื้อสินค้า) หรือที่เราเรียกว่า Demand-pull Inflation ซึ่งหลักการนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากการปรับขึ้นของราคาหุ้น เพราะการซื้อหุ้นก็ใช้หลักของการประมูลราคาเช่นเดียวกัน
.
หากหุ้นตัวใดมีคนต้องการซื้อมากกว่าขาย ราคาก็ขึ้น ถ้าความต้องการขายมากกว่าต้องการซื้อ ราคาก็ลง
.
การวิเคราะห์ความต้องการซื้อหรือดีมานด์ในหุ้นตัวนั้น จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นนั้น
.
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เข้าใจเรื่องนี้ดี จึงพยายามสร้างดีมานด์ให้กับหุ้นบริษัทตัวเอง ไม่ใช่แค่ทำผลการดำเนินงานให้ดี แต่ต้องป่าวประกาศผลงานดีๆ นั้นให้สังคม โดยเฉพาะชุมชนคนลงทุนได้รับรู้ด้วย โดยใช้การประชาสัมพันธ์ และนักลงทุนสัมพันธ์ เพื่อสื่อสารสิ่งดีๆ ผ่านช่องทางต่างๆ ไปสู่กลุ่มเป้าหมายนักลงทุน
.
ส่วนในด้านของอุปทาน หรือความต้องการขาย รวมไปถึงปริมาณของสินค้าหรือบริการนั้นที่มีอยู่ในตลาด มีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งมักจะไปสัมพันธ์กับเรื่องของกำไรและขาดทุน
.
ของสิ่งไหนที่ทำแล้วสามารถขายได้กำไรดี ก็มักจะมีคนแห่ทำของสิ่งนั้นกัน ในทางกลับกัน ถ้าขายแล้วขาดทุน ก็คงไม่มีใครอยากทำ
.
แล้วกำไร-ขาดทุน ขึ้นอยู่กับอะไรล่ะ ก็ขึ้นอยู่กับต้นทุน และการตั้งราคาขาย เพื่อให้มีส่วนต่างที่เรียกว่า “มาร์จิ้น” ที่เหมาะสม ถ้าต้นทุนสูง แต่ราคาขายต่ำ ย่อมทำกำไรไม่ได้ ดังนั้น สินค้าหรือบริการที่จะยืนหยัดในตลาดได้ จึงต้องมีความยืดหยุ่นในการปรับราคาเพิ่มขึ้น หากต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น นี่แหละที่เรียกว่า Cost-push Inflation
.
ในมุมของการลงทุนในหุ้น เรื่องของ cost หรือต้นทุนของแต่ละกิจการถือเป็นประเด็นสำคัญที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์บริษัทที่เราสนใจลงทุนได้ สำคัญกว่าการวิเคราะห์รายได้หรือยอดขายเสียด้วยซ้ำไป
.
ยกตัวอย่างเช่น บริษัทหนึ่งขายของได้มาก ยอดขายสูง แต่หากต้นทุนสูง ก็ย่อมมีกำไรน้อยหรืออาจจะขาดทุนได้ ในขณะที่อีกบริษัทหนึ่งยอดขายน้อยกว่า แต่ควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า อาจทำกำไรได้ดีกว่า
.
ในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี เพิ่มยอดขายได้ยาก สิ่งที่ทุกบริษัททำเหมือน ๆ กัน จึงเป็นการลดต้นทุน เราก็ต้องวิเคราะห์ต่อไปอีกว่า การลดต้นทุนที่ว่านั้น จะส่งผลกระทบต่อโอกาสการเติบโตของธุรกิจในอนาคตหรือไม่ เพราะหากการลดต้นทุนในปัจจุบัน ส่งผลลบต่ออนาคต ก็เท่ากับว่าบริษัทนั้นกำลังทำลายโอกาสของตัวเองในการเติบโต และจะกลายเป็นบริษัทที่ไม่น่าสนใจไปในทันที
.
การลดต้นทุนที่ดี จึงต้องสร้างผลดีทั้งในปัจจุบัน และอนาคต เช่น ธุรกิจธนาคาร ลดจำนวนสาขาลง แล้วหันมาให้บริการผ่านอุปกรณ์สื่อสารมากขึ้น หรือธุรกิจขายสินค้าที่เคยมีหน้าร้านหลายๆ แห่ง ใช้วิธีลดการขยายร้านหรือปิดร้าน แล้วหันมาบุกตลาดออนไลน์มากขึ้น แบบนี้คือการลดต้นทุนเพื่อการเติบโตที่ดีกว่า อัตรากำไรสูงกว่า ในอนาคต
.
นักลงทุนคุณภาพจึงควรมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของอุปสงค์ (Demand) และต้นทุน (Cost) ด้วยประการฉะนี้แล
--
คอลัมน์ “เรียลไลฟ์ เรียลลงทุน”
