“งบกำไรขาดทุน” ไม่ได้มีไว้ให้แค่ฝ่ายบัญชีดูอย่างเดียว
นักลงทุนที่อ่านเป็น จะรู้ก่อนเลยว่าบริษัทไหนกำลัง “ทำเงินเก่งจริง” บริษัทไหนแค่สร้างภาพด้วยยอดขาย แต่กำไรบางเฉียบ บทความนี้แอดสรุป 7 ค่าเด็ดจากงบ Income Statement ที่ดูไม่กี่นาทีก็จับทางได้แล้วว่าหุ้นตัวนั้นควร “ถือยาว–เล่นสั้น–หรือเดินหนี”
..วลาเปิดงบการเงิน หลายคนจะรู้สึกเหมือนกำลังมอง “กำแพงตัวเลข” ที่อ่านยากไปหมด ทั้งรายได้ ต้นทุน ภาษี กำไรสุทธิ ฯลฯ
แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าเราหยิบ “ตัวช่วยไม่กี่ตัว” มาดูให้เป็น เราจะจับจุดบริษัทได้เร็วมากว่าเป็นหุ้นเติบโตเร็ว หุ้นเนิบ หรือหุ้นที่กำไรบางจนน่ากังวล
อินโฟที่คุณส่งมาใช้ 7 อัตราสำคัญจากงบกำไรขาดทุน (Income Statement) มาช่วย “สแกนบริษัท” ภายในไม่กี่นาที เดี๋ยวลองไล่ทีละตัวแบบภาษาคนกันครับ

..
1.Gross Margin – กำไรขั้นต้น หน้าด่านแรกของคุณภาพธุรกิจ
สูตรบนกระดาษ
Gross Margin = กำไรขั้นต้น ÷ รายได้รวม
คำแปลแบบง่าย
ขายของได้ 100 บริษัทเหลือ “กำไรขั้นต้น” อีกกี่บาท หลังหักต้นทุนสินค้า/ต้นทุนบริการ (COGS) แล้ว
ถ้า Gross Margin สูง แปลว่า
– บริษัทมีอำนาจการตั้งราคา (Pricing Power)
– ต้นทุนการผลิตคุมได้ดี
– พื้นที่ให้เอาไปจ่ายค่าการตลาด เงินเดือน วิจัยพัฒนา ยังเหลือ
ธุรกิจซอฟต์แวร์ หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ มักมี Gross Margin สูงมาก เพราะต้นทุนตัวแปรต่ำ ขายซอฟต์แวร์เพิ่ม 1 ไลเซนส์ ต้นทุนแทบไม่เพิ่ม ต่างจากผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้นทุนวัตถุดิบสูงกว่ามาก
นักลงทุนใช้ยังไง
ถ้าเทียบหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ตัวที่ Gross Margin สูงกว่ามักบอกเราว่า “โมเดลธุรกิจแข็งแรงกว่า” และมักมีศักยภาพทำกำไรสุทธิสูงกว่าในระยะยาว
..
2.SG&A Margin – ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร กินกำไรไปเท่าไร
สูตร
SG&A Margin = ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร (SG&A) ÷ กำไรขั้นต้น
ภาพในหัว
นี่คือสัดส่วน “งบเครื่องจักรการขายและการบริหาร” ที่กินส่วนแบ่งจากกำไรขั้นต้นไป เช่น ค่าโฆษณา ฝ่ายขาย ฝ่ายบริหาร ค่าเช่าสำนักงาน ระบบ IT ภายใน ฯลฯ
ถ้า SG&A Margin สูงเกินไป
– บริษัทอาจทุ่มโฆษณาหนักเกินจำเป็น
– โครงสร้างองค์กรอุ้ยอ้าย มีชั้นผู้บริหารเยอะ
– หรืออยู่ในช่วงลงทุนขยายตลาด ยังไม่เน้นกำไร
ถ้า SG&A Margin ต่ำลงต่อเนื่องขณะที่รายได้โต
– มักแปลว่า “สเกลเริ่มทำงาน” โครงสร้างคงที่แต่ขายได้เพิ่ม
– กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Margin) มักดีขึ้นตาม
นักลงทุนจึงต้องดู SG&A ควบคู่กับรายได้ ถ้ารายได้ไม่โต แต่ SG&A พองตัว แปลว่าเริ่มน่าห่วง
..
3.R&D Margin – บริษัทลงทุนกับอนาคตแค่ไหน
สูตร
R&D Margin = ค่าใช้จ่ายวิจัยพัฒนา (R&D) ÷ กำไรขั้นต้น
ความหมาย
เงินที่บริษัทยอม “เผาในวันนี้” เพื่อให้มีสินค้า เทคโนโลยี หรือบริการใหม่ ๆ ในอนาคต
ธุรกิจเทคโนโลยี เซมิคอนดักเตอร์ ยาและชีวภาพ มักมี R&D Margin สูง เพราะรายได้อนาคตผูกกับของใหม่ที่ยังไม่เกิดขึ้น
มองยังไงให้สมดุล
ถ้า R&D ต่ำผิดปกติในอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
– อาจแปลว่าบริษัทเริ่มตามคู่แข่งไม่ทัน หรือเน้นรีดกำไรระยะสั้นเกินไป
แต่ถ้า R&D สูงมากหลายปีติด แต่รายได้–กำไรไม่โต
– ก็อาจแปลว่าบริษัท “วิจัยแล้วไม่ค่อยขายได้จริง” ต้องระวังเหมือนกัน
ไอเดียคือมอง R&D เป็น “เมล็ดพันธุ์” แล้วตามดูว่าอีก 2–3 ปีข้างหน้ามันกลายเป็นรายได้หรือเปล่า
..
4.Interest Margin – ดอกเบี้ยกินกำไรไปเท่าไร
สูตร
Interest Margin = ดอกเบี้ยจ่าย ÷ กำไรจากการดำเนินงาน
ใช้ดูอะไร
เป็นตัววัดว่า “กำไรจากธุรกิจจริง” ต้องถูกนำไปจ่ายดอกเบี้ยเยอะแค่ไหน
ถ้า Interest Margin สูง
– บริษัทมีหนี้เยอะ หรือดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายแพง
– กระแสเงินสดจากการดำเนินงานถูกดูดไปใช้หนี้ แทนที่จะนำไปลงทุนหรือคืนผู้ถือหุ้น
ถ้า Interest Margin ต่ำ
– งบดุลเบา เสี่ยงด้านการเงินน้อย
– บริษัทมีพื้นที่ขยายธุรกิจ ลงทุน หรือทำ M&A ได้คล่อง
นักลงทุนมักใช้ตัวนี้แยกเลยว่า เป็น “หุ้นเติบโตด้วยเงินตัวเอง” หรือ “หุ้นเติบโตด้วยหนี้”
..
5.Tax Margin – บริษัทโดนภาษีจริง ๆ กี่เปอร์เซ็นต์
สูตร
Tax Margin = ภาษีเงินได้ ÷ กำไรก่อนภาษี (Pre-tax Income)
ความสำคัญ
บริษัทใหญ่ระดับโลกบางแห่ง จ่ายภาษีต่ำกว่าที่เราคิดเพราะ
– มีเครดิตภาษีสะสม
– มีการวางโครงสร้างภาษีระหว่างประเทศ
– ได้สิทธิประโยชน์จากการลงทุนในบางประเทศ
ถ้า Tax Margin ผันผวนแรง
– ปีนึงจ่ายน้อย อีกปีพุ่งสูง ต้องเช็กว่าเกิดจากรายการพิเศษ หรือเพราะนโยบายภาษีเปลี่ยน
– นักลงทุนต้องระวังอย่านำกำไรสุทธิปีที่ “ภาษีต่ำผิดปกติ” ไปใช้คำนวณมูลค่าตรง ๆ
ดูเทียบกันในอุตสาหกรรม บริษัทที่ Tax Margin เริ่มขยับขึ้นเรื่อย ๆ อาจกำลังหมดช่วงได้สิทธิประโยชน์ภาษี พอเข้าโหมดปกติแล้วกำไรสุทธิจะบางลงนิดหน่อย
..
6.Net Income Margin – กำไรสุทธิจริง ๆ เหลือกี่บาท
สูตร
Net Income Margin = กำไรสุทธิ ÷ รายได้รวม
นี่คือ “ตัวเลขทอง” ที่บอกว่า หลังหักทุกอย่างแล้ว
– ต้นทุนสินค้า
– ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร
– ดอกเบี้ย
– ภาษี
บริษัทเหลือกำไรสุดท้ายต่อรายได้ 100 บาทกี่บาท
เปรียบเทียบได้หลายมิติ
ระหว่างบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน
– Net Margin สูง บ่งบอกถึงธุรกิจที่มีทั้ง Gross Margin ดี คุมค่าใช้จ่ายเก่ง งบดุลไม่บวม
มองเทียบระยะเวลา
– Net Margin ขยายขึ้นต่อเนื่อง แปลว่าบริษัทกำลัง “กินส่วนแบ่งกำไรของอุตสาหกรรม” มากขึ้น
– ถ้า Net Margin หด บางทีเป็นสัญญาณเตือนว่าคู่แข่งเริ่มบีบราคา หรือค่าใช้จ่ายเริ่มควบคุมไม่อยู่
..
7.EPS Growth – เติบโตจริงที่ส่งถึงผู้ถือหุ้น
สูตรคร่าว ๆ
EPS Growth = EPS ปีที่ 2 ÷ EPS ปีที่ 1 – 1
EPS = กำไรสุทธิ ÷ จำนวนหุ้น
ดังนั้น EPS Growth คือ “การโตของกำไรต่อหุ้น”
ทำไมต้องดู EPS ไม่ใช่ดูแต่กำไรสุทธิ
เพราะบางบริษัทกำไรโตจากการซื้อกิจการหรือออกหุ้นเพิ่มทุนเยอะมาก
– กำไรสุทธิอาจโต 20% แต่ถ้าหุ้นเพิ่ม 20% EPS จะไม่โตเลย
– ในมุมผู้ถือหุ้น ระยะยาวเรารับผลตอบแทนจาก EPS เป็นหลัก
ถ้า EPS Growth โตสม่ำเสมอ
– ตลาดมักให้ Premium สูง เพราะถือเป็นหุ้นที่ “สร้างคุณค่า” ให้ผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง
ถ้า EPS เด้งแรง ๆ ปีเดียว เพราะรายการพิเศษ
– ต้องระวังไม่เอาไปปั้น Story ว่าบริษัทโตยั่งยืน ทั้งที่เป็นแค่ครั้งเดียวแล้วจบ
..
สรุป: เช็ก 7 ค่า จากงบเดียว มองหุ้นได้เหมือนมือโปร
ถ้าจะใช้ Framework นี้แบบรวดเร็วกับหุ้นสักตัว ลองทำตามนี้
1. ดู Gross Margin ก่อน ว่าบริษัทอยู่ในเกมที่มีกำไรขั้นต้นสูงหรือต่ำ
2. ตามด้วย SG&A และ R&D ว่าใช้เม็ดเงิน “ปั้นยอดขาย–ปั้นอนาคต” สมดุลไหม
3. เช็กดอกเบี้ยกับภาษี ผ่าน Interest Margin และ Tax Margin ว่าเงินกำไรโดนดูดออกไปตรงไหนบ้าง
4. กลั่นทุกอย่างออกมาเป็น Net Income Margin ดูว่าบริษัทเก็บกำไรสุดท้ายได้ดีแค่ไหน
5. ปิดท้ายด้วย EPS Growth ว่าผลลัพธ์ทั้งหมด “ส่งถึงผู้ถือหุ้น” สม่ำเสมอหรือเปล่า
ใช้ 7 ตัวนี้ร่วมกับการอ่าน Story ธุรกิจ คุณจะเห็นภาพชัดขึ้นมากว่า
– หุ้นตัวไหนคือ “เครื่องจักรทำกำไรแท้จริง”
– หุ้นตัวไหนกำลังใช้หนี้หรือการตลาดหนัก ผลักตัวเลขขึ้นชั่วคราว
– และหุ้นตัวไหนที่แม้ยอดขายยังไม่หวือหวา แต่ R&D หนาและ EPS เริ่มขยับ เป็นเมล็ดพันธุ์เติบโตระยะยาว
อ่านงบให้เป็น ไม่ได้แปลว่าเราต้องเป็นนักบัญชี
แค่เลือกดู “ตัวคุมเกม” ให้ถูก จุดตัดสินใจเรื่องลงทุนก็จะชัดกว่าคนส่วนใหญ่ไปอีกขั้นครับ
ที่มาเนื้อหาจาก.. หุ้นพอร์ทระเบิด