สิ้นปีนี้คือปี พ.ศ 2562 น่าจะได้เห็น 1,700 จุด เพราะ?
1) ในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคมของทุกปี มักจะมีเงินก้อนหนึ่งจํานวน 30,000 - 40,000 ล้าน บาท จากกองทุนเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อลดหย่อนภาษีของมนุษย์เงินเดือน ซึ่งก็น่าจะทําให้หุ้นไทยปรับตัวไปที่ 1,700 จุด ได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จนไปถึงปลายปีนี้ คือปี พ.ศ 2562
2) ตลาดหุ้นหลักของสหรัฐอเมริกาทั้ง 3 ตลาดทําจุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2562 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเปรียบเทียบกับราคาปิดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2559 ซึ่งเป็นวันก่อนวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งที่แล้ว 1 วัน ดังนี้ คือ :
2.1) Down Jones ทําจุดสูงสุดตลอดกาล ( All Time High ) ที่ 27,774 จุด ( +51.50% )
2.2) Nasdaq ทําจุดสูงสุดตลอดกาล ( All Time High ) ที่ 8,483 จุด ( +63.35% )
2.3) S&P 500 ทําจุดสูงสุดตลอดกาล ( All Time High ) ที่ 3,097 จุด ( +44.79% )
และเมื่อตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาปรับตัวมากขึ้นเรื่อยๆจนมีราคาแพงมากจนเกินไป ก็น่าจะมีเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยที่ยังมีราคาถูกกว่าชาวบ้านชาวเมืองเขามาก โดยปรับตัวขึ้นเพียง ( 1,637 - 1,510 ) / 1,510 x 100 = +8.41% ในช่วงเวลาเดียวกัน
3) ลุ้น‘มูดี้ส์’ เพิ่มเรตติ้งไทย หนุนโฟลว์ไหล :
“โบรกฯ” ลุ้นสิ้นปี มูดี้ส์ เพิ่มเรตติ้งไทยเป็น A3 หนุนฟันด์โฟลว์ไหล-ต้นทุนระดมทุนธุรกิจถูกลง
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเผยว่า บริษัท Rating and Investment Information,Inc (R&I) ของญี่ปุ่น ปรับยกระดับเครดิต Credit rating ประเทศไทย เป็น A- (Upper Meduim Grade) จากเดิม BBB+ (Lower Meduim Grade) และคงมุมมองความน่าเชื่อไว้ที่ระดับเสถียรภาพ หรือ Stable Outlook จากเหตุผล 4 ข้อ คือ
1. ไทยเกินดุลการค้าและดุลบริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 2. การเมืองของประเทศไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น 3. ไทยมี พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ทำให้การบริหารการคลังมีประสิทธิภาพ และ 4.รัฐบาลไทยมุ่งเน้นพัฒนาโครงการ (EEC) ทำให้มีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่อง
โดยนางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า สาเหตุที่ไทยได้รับการจัดอันดับในระดับที่ดีขึ้น เป็นผลจากการดำเนินมาตรการเชิงรุกในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเกิดความเชื่อมั่นและพร้อมเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นส่งผลให้เศรษฐกิจในระยะยาวมีเสถียรภาพและเติบโตดี
ขณะที่ การเกินดุลการค้าและดุลบริการที่เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางด้านรายได้จากการท่องเที่ยว รวมถึงการมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงกว่าหนี้ต่างประเทศ ขณะเดียวกันไทยยังมีวินัยทางการเงินการคลังที่แข็งแกร่ง โดยจัดทำกรอบวินัยการเงินการคลังและบริหารจัดการด้านการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม และยังได้กำหนดเพดานหนี้สาธารณะไว้ในกฎหมายอย่างชัดเจน ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในขณะนี้ยังอยู่ในระดับต่ำ จึงไม่มีความกังวลในด้านการระดมทุนและความเสี่ยงด้านการคลัง
นอกจากนี้ R&I ยังมองว่าไทยมีเสถียรภาพด้านการเมืองมากขึ้น จากการที่มีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง และออกนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานราก ที่จะปรับโครงสร้างการกระจายรายได้ระหว่างเขตเมืองและชนบท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์มองว่าการปรับอันดับ Credit rating ของ R&I ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก เพิ่มความคาดหวังต่อสถาบันจัดอันดับสำคัญ อาทิ Moody’s และเอสแอนด์พี ที่อาจจะพิจารณาปรับขึ้นได้ในช่วงปลายปี ขณะเดียวกันยังส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ และช่วยให้การระดมทุนภาคเอกชนจากต่างประเทศของรัฐบาลและเอกชนไทยให้มีต้นทุนถูกลง
ทั้งนี้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือดีขึ้น (Outlook) อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Moody’s และ Fitch Rating ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือให้กับประเทศไทย จากระดับเสถียรภาพมาเป็นเชิงบวก ขณะที่เอสแอนด์พีจะมาเก็บข้อมูลไทยในเดือนพฤศจิกายนนี้ และประกาศปรับเครดิตในเดือนธันวาคม
ด้านนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า การยกระดับความน่าเชื่อถือของประเทศถือเป็นสัญญาณเชิงบวก ส่งผลต่อต้นทุนการระดมเงินและต้นทุนการทำธุรกิจให้ถูกลงไปด้วย สะท้อนความเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติมองไทยลดลง
“เป็นผลดีในเชิงจิตวิทยา ต่อการดึงเม็ดเงินหรือฟันด์โฟลว์เข้ามาลงทุนในประเทศ และหากไทยได้รับการปรับเพิ่มเครดิตเรตติ้งก็จะเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี จากที่สถาบัน Moody’s ปรับเรตติ้งของไทยครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนมีนาคม 2546 จาก Baa3 มาเป็น Baa1 และหากปลายปีนี้ไทยได้รับการปรับ ก็จะปรับขึ้นเป็น A3”
หมายเหตุ : 1) ที่มาจาก ( Yahoo Finance ) และ ( Thansettakij.com )
2) โปรดติดตามการ Long และ Short Set 50 Index Futures ตามการปั่นและทุบหุ้นของทรัมป์ได้ใน longtunbysak.blogspot.com และ Group Facebook