ห้องเม่าปีกเหล็ก

เปิดรายชื่อ 10 หุ้นเด่น น่าลงทุนประจำปี 2567

โดย dave
เผยแพร่ :
12,366 views

เปิดรายชื่อ 10 หุ้นเด่น

น่าลงทุนประจำปี 2567

.

ปีนี้ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยกดดันหลายด้าน ทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับสูง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมาช้ากว่าที่คาด รวมถึงเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลออกต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลงจาก ทำให้มูลค่าการซื้อขายต่อวันปรับตัวลงมาอยู่ในระดับ 3 หมื่นล้านบาท และดัชนีร่วงลงมาเทรดในต่ำกว่าระดับ 1,400 จุด

.

ดังนั้นปี 2567 จึงเป็นปีที่หลายฝ่ายคาดหวังว่าสถานการณ์ต่างๆ จะคลี่คลาย ช่วยสนับสนุนให้ภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศปรับตัวดีขึ้น Wealthy Thai จึงมีกลยุทธ์การลงทุน และ 10 หุ้น Top Picks ที่น่าสนใจสำหรับปีหน้ามาฝาก

.

โดยนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุว่า มองตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวได้ดีในครึ่งปีหลังปี 2567 โดยให้กรอบ SET Index อยู่ที่ 1,650-1,700 จุด มองลักษณะการลงทุนที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนดี คือ

.

1. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง 2. กลุ่มที่กำไรผ่านจุดต่ำสุด 3. กลุ่มเชิงรับที่สามารถต่อกรกับความผันผวนภายนอกได้ดี 4. กลุ่มที่มีการเติบโตดีต่อเนื่อง 5. ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และ 6. มี Valuation น่าสนใจ

.

สำหรับหุ้นที่แนะนำให้ลงทุน ได้แก่ AMATA, BBL, BDMS, BEM, CPALL, CRC, GULF, OR, SCC, SCGP โดยเริ่มต้นที่ AMATA ฝ่ายวิเคราะห์คาดจะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตและ EEC

.

โดยแบ็กล็อก ณ สิ้นไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 10,650 ล้านบาท หนุนรายได้ใน 2-3 ปีข้างหน้า ประเมินกำไรปี 2566 ที่ 1,897 ล้านบาท โต 110% และเติบโตต่ออีก 18% อยู่ที่ 2,239 ล้านบาท ในปี 2567 คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 29.10 บาท

.

ถัดมา BBL ฝ่ายวิเคราะห์คาดปี 2567 กำไรจะอยู่ที่ 51,666 ล้านบาท เติบโต 14% จากปีนี้ที่คาด 45,248 ล้านบาท โดยคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อจะค่อยๆ ฟื้นตัวมาอยู่ที่ 5% ซึ่งมี upside จากการย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคอาเซียน

.

ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยคาดว่ายังเพิ่มขึ้นได้อีก 17 bps และ credit cost ที่ลดลง 10 bps ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน แนะนำ Outperform Market ราคาเป้าหมาย 210 บาท

.

BDMS ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไรปี 2566 จะเติบโตต่อเนื่องที่ 14,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน และเป็น 15,292 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% ในปี 2567 จากบริการผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เติบโตมากขึ้น รายได้จากศูนย์ความเป็นเลิศที่เพิ่มขึ้นและการใช้ประโยชน์สินทรัพย์ได้ดีขึ้น

.

นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากเทรนด์ Wellness Tourism ในไทย ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้ธุรกิจที่ไม่ใช่การรักษาพยาบาลเพิ่มเป็น 15-20% ของรายได้รวมในระยะยาว จากปัจจุบันที่ 5% แนะนำ Outperform Market ราคาเป้าหมาย 35 บาท

.

BEM ฝ่ายวิเคราะห์มองเป็นผู้ได้รับสัมปทานทางด่วนเส้นหลักๆ ในกรุงเทพฯ และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และเป็นบริษัทที่มีความผันผวนของรายได้ที่ต่ำ เนื่องจากปริมาณผู้ใช้ทางด่วนและรถไฟฟ้ามีความผันผวนต่ำ

.

โดยปี 2567 คาดกำไรอยู่ที่ 4,485 ล้านบาท โต 27% โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของปริมาณผู้ใช้ทางด่วนที่ 5.3% และการฟื้นตัวของจำนวนผู้โดยสาร MRT ให้คำแนะนำ Outperform ราคาเป้าหมาย 9 บาท

.

CPALL ฝ่ายวิเคราะห์คาดเป็นบริษัทที่ได้รับประโยชน์หลักจากโครงการ Digital Wallet (วงเงิน 5 แสนล้านบาท) ซึ่งหากอนุมัติ คาดจะเริ่มใช้เงินในโครงการได้ตั้งแต่พ.ค. 67 เพราะเป็นบริษัทในกลุ่มค้าปลีกที่มีจำนวนสาขามากที่สุด และมีสาขาครอบคลุมทุกอำเภอของประเทศไทย

.

โดยปี 2567 คาดกำไรอยู่ที่ 20,520 ล้านบาท โต 22% (สูงกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตในกลุ่มค้าปลีกที่ 16%) จากแรงหนุนการเติบโตของร้านสะดวกซื้อและดอกเบี้ยจ่ายของ CPAXT ที่ลดลง ให้คำแนะนำ Outperform ราคาเป้าหมาย 74 บาท

.

CRC ฝ่ายวิเคราะห์คาดเป็นบริษัทที่ได้รับประโยชน์หลักจากโครงการ E-refund ซึ่งหากอนุมัติ คาดว่าสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการซื้อสินค้าและบริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท ตั้งแต่ม.ค. - ก.พ. 67

.

โดยจากมาตรการลดหย่อนภาษีชอปปิ้งครั้งล่าสุด (1 ม.ค.- 15 ก.พ. 66) ช่วยกระตุ้น SSS growth ของ CRC เพิ่มขึ้น 2 -3% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมากที่สุดในกลุ่มค้าปลีก ประเมินปี 2567 มีกำไร 9,248 ล้านบาท โต 14% แนะนำ Outperform Market ราคาเป้าหมาย 48 บาท

.

GULF ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินกำลังการผลิตยังขยายตัวต่อเนื่องในช่วง 10 ปีข้างหน้า ยังคงเติบโตปีละ 6% หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 8.8 GW โดยเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ภายในปี 2576 และทำให้กำไรเติบโตต่อเนื่อง

.

โดยเฉพาะในช่วงปี 2566-2568 คาดปี 2566 มีกำไรที่ 15,932 ล้านบาท โต 39.53% และปี 2567 ที่ 20,421 ล้านบาท โต 28.18% ให้คำแนะนำ Outperform ราคาเป้าหมาย 63 บาท

.

OR ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินปี 2567 แนวโน้มกำไรยังเติบโตต่อเนื่อง คาดกำไรอยู่ที่ 15,238 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.14% แรงหนุนมาจากอุปสงค์ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นและส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในอุตสาหกรรม (มากกว่า 40%) และรายได้ที่ดีขึ้นจากธุรกิจ lifestyle

.

โดยคาดว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากนโยบายแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต ผ่านธุรกิจ ifestyle โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Cafe Amazon) ให้คำแนะนำ Outperform ราคาเป้าหมาย 27 บาท

.

SCC ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินกำไรปี 2567 จะฟื้นตัวอยู่ที่ 650,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.84% ปัจจัยหนุนจาก 1) การฟื้นตัวของธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง จากความต้องการเพิ่มขึ้น และต้นทุนพลังงานถ่านหินลดลง

.

2) คาด Chemical spread จะฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 67 ซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณเริ่มกลับมา ขณะที่ Supply ใหม่เริ่มออกมาน้อยแล้ว และ 3) ธุรกิจ Packaging คาดจะฟื้นตัวตามปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนลดลง

.

นอกจากนี้ราคาหุ้น SCC ยังปรับลงมาซื้อขายที่ระดับต่ำกว่า Book value เป็นครั้งแรกในรอบอย่างน้อย 10 ปี มาอยู่ที่ 0.75 เท่า ณ ปัจจุบัน จึงทำให้มอง Downside risk จำกัด ให้คำแนะนำ Outperform Market ราคาเป้าหมาย 357 บาท

.

และสุดท้าย SCGP ฝ่ายวิเคราะห์มองผลการดำเนินงานอยู่ในทิศทางที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ปัจจัยหนุน ได้แก่ แนวโน้มราคาบรรจุภัณฑ์กระดาษที่เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/66

.

โดยจากการกลับมาของปริมาณความต้องการบรรจุภัณฑ์กระดาษจากประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ของภูมิภาค นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากต้นทุนพลังงานถ่านหิน และค่าไฟฟ้าที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง

.

ดังนั้นประเมินกำไรปี 2567 ที่ 7,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.73% จากปีนี้ ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงสะท้อนประเด็นลบไปค่อนข้างมากแล้ว ราคาหุ้นซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3 ปีที่ 31.7 เท่า ให้คำแนะนำ Outperform Market ราคาเป้าหมาย 51 บาท

 

 

 


dave