ห้องเม่าปีกเหล็ก

โบรกคาด ‘หุ้นไทย’ ทยอยฟื้น รับ กนง. ‘ลดดอกเบี้ย’

โดย poomai
เผยแพร่ :
60 views

โบรกคาด ‘หุ้นไทย’ ทยอยฟื้น รับ กนง. ‘ลดดอกเบี้ย’ แนะดัชนี 1,200 จุด จังหวะลงทุน

บรกคาด ‘หุ้นไทย’ ทยอยฟื้น รับ กนง. ‘ลดดอกเบี้ย’ แนะดัชนี 1,200 จุด จังหวะลงทุน คาด ยังเสี่ยงหลุด 1,200 จุดได้ เหตุแรงกดดัน “สงครามการค้า-แอลทีเอฟ”

วานนี้ “หุ้นไทย” พุ่ง 24 จุด มาอยู่ 1,31.14 จุด หลัง กนง. เซอร์ไพรส์ตลาด “ลดดอกเบี้ย” 0.25% “บล.กสิกรไทย” มอง ระดับ 1,180-1,200 จุด เป็นจังหวะ “ลงทุน” ได้ “บล. ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล” มองหุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นได้ช่วงปลายไตรมาส 1 ปี 68 “บล.ทิสโก้” ชี้หุ้นไทยปัจจัยพื้นฐานถูกมาก 

 

ปฏิเสธไม่ได้ “ตลาดหุ้นไทย” ยังคงได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในและนอกประเทศ “กดดัน” แม้วานนี้ (26 ก.พ.) คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เซอร์ไพรส์ตลาดหลัง “ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ลง 0.25% มาอยู่ระดับ 2.00% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปิดตลาดที่ระดับ 24.75 จุด อยู่ที่ 1,231.14 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย (วอลุ่ม) 62,528.51 ล้านบาท 

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ยังมองหุ้นไทยมี “แรงกดดัน” จากสงครามการค้า การไถ่ถอนกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) แรงเทขายจากโปรแกรมเทรดดิ้ง และการทำช็อตเซล ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นต่อสภาพเศรษฐกิจ ดังนั้น ความกังวลว่า “ดัชนีหุ้นไทย” จะหลุดร่วง 1,200 จุดหรือไม่

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า วานนี้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาระดับ 24 จุด หนึ่งในปัจจัยหนุนมาจาก กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งถือว่าเซอร์ไพรส์ตลาด ดังนั้น ระยะสั้นมองว่าดัชนีหุ้นไทยทยอยฟื้นตัว 

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีปัจจัยกดดันของกองทุน LTF ตั้งแต่ต้นปี 2568 ถึงสิ้นเดือน ก.พ.2568 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท ที่มีการไหลออกไป ขณะที่ในเดือนมี.ค.จะมีการตั้งกองทุน Thai ESG2 เพื่อลดแรงกดดันลง รวมทั้งนโยบายการค้าที่คาดว่าจะมีความชัดเจนช่วงต้นเดือนเม.ย.นี้ 

ทั้งนี้ หากถามว่ามีโอกาสหลุดไปที่ 1,200 จุด หรือไม่ ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะมีแต่ไม่เยอะ โดยเรามองกรอบไว้ที่ 1,180 จุด เป็นกรอบที่อยู่ใน P/E 12.5-13 เท่า ถือว่ายังเอาอยู่

“มีโอกาสหลุด 1200 จุด แต่ทว่าบริเวณ 1180 จุด เป็นโอกาสของ จังหวะ Long Term Investment ที่สำคัญคือ ระดับต่ำกว่า 1,200 จุด ถือว่าส่วนต่างหุ้นกับบอนด์ Earning yield gap สูงถึง 5.5% ขึ้นไป ถือว่าเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี ซึ่งนั่นหมายความว่าการลงทุนในตลาดหุ้นเริ่มให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรที่ 5.5% และคาดว่าจะมีการโยกย้านสินทรัพย์มาที่ตลาดหุ้น แต่ต้องหาหุ้นที่ปันผลสูงที่ 5.5% ด้วย ดังนั้นหุ้นที่จะนำพาหุ้นให้ขึ้นในรอบนี้ได้”

ดังนั้น ในเดือนมี.ค.นี้ เป็นอีกหนึ่งเดือนที่สำคัญที่หลายประเทศทั่วโลกเร่งเจรจาสงครามภาษีกับสหรัฐ ก่อนจะมีผลในวันที่ 2 เม.ย.2568 ความสำคัญมาก ขณะที่ หุ้นไทยในระยะสั้นอาจจะยังไม่ได้อยู่ในโซนอันตราย แต่ก็ต้องระมัดระวังไว้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยังคงจะไม่ได้ฟื้นตัวแรง มองกรอบไว้ที่ 1,180 จุด มองโซนที่น่าสะสม โดยในครึ่งปีแรกมองว่า แนะนำนักลงทุนเน้นไปยังกลุ่ม defensive เพราะปัจจัยภายนอกยังมีความไม่แน่นอน ขณะที่กลุ่มเฮลแคร์ เช่น BDMS เป็นต้น

นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์การลงทุน บล. ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเสริมว่า ตลาดหุ้นบ่ายวานนี้ปรับตัวขึ้นไปหลังจากที่ กนง. มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 2.25% เป็น 2.00% ต่อปี โดยให้มีผลทันที ซึ่งถือว่าเซอร์ไพรส์ตลาด

อย่างไรก็ตาม ระยะข้างหน้าหุ้นไทยสามารถหลุดลงไปอยู่ที่ 1,200 จุดได้ เป็นแนวรับทางจิตวิทยาที่ลึก เนื่องจากตัวเลขสหรัฐความเชื่อมั่นเริ่มออกไปในทิศทางที่ไม่ค่อยดีมากนัก ขณะที่ฟันโฟลว์เริ่มมีการไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐมากยิ่งขึ้น จากการมาของ AI ตัวใหม่ DeepSeek ของจีน ทำให้เงินไหลเข้าไปยังประเทศจีน

โดยในครึ่งปีแรกแนะนำเป็นเทรดดิ้ง เฉพาะกลุ่มแบงก์ รวมถึงหุ้นท่องเที่ยวที่ไม่รวม AOT เน้นไปยังหุ้น MINT ขณะหุุ้นนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมองหุ้นไทยน่าจะสามารถปรับตัวขึ้นมาได้ในปลายไตรมาส 1 ปี 2567 หรือปลายเดือน มี.ค.2568

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หุ้นไทยอาจจะมีหลุด 1,200 จุดได้ แต่ทว่าปัจจัยพื้นฐานค่อนข้างถูกมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพีอี หรือ Earning Yield Gap หรือ Book Value ขณะที่ Dividend Yield แตะที่ 4% ถือว่าให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าบอนด์ยีลด์ของไทยอยู่ที่ 2%

ส่วนปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงยังคงเป็นเรื่องสงครามการค้าที่ไทยอาจจะโดนขึ้นภาษีได้ เพราะไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐเป็นอันดับที่ 11 และมีแนวโน้มจากที่สหรัฐเปลี่ยนจากการเรียกเก็บภาษีจากสหรัฐเท่าใดก็จะเรียกเก็บจากไทยเท่านั้นเช่นกัน และไทยยังคงอยู่ที่ค่าเฉลี่ยค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับภูมิภาคเอเชียด้วยกันรองลงมาแค่อินเดียเท่านั้น

ขณะที่ ปัจจัยในประเทศยังคงมีเรื่องที่ยังกังวลต่อกองทุน LTF ที่มีการถูกเทขายออกไป ทำให้ขาดสภาพคล่องจากการไถ่ถอนกองทุน LTF แต่ในเดือนมี.ค.2568 ภาครัฐจะมีนโยบายในการออกกองทุน Thai ESG2 ซึ่งอาจจะมาช่วยในการลดผลกระทบในส่วนนี้

 

ที่มา  https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1168596

 


poomai