ห้องเม่าปีกเหล็ก

สภาพัฒน์ฯ เผย 6 ความท้าทาย ที่ไทยต้องเผชิญใน 5 ปี

โดย Story
เผยแพร่ :
1,491 views

สภาพัฒน์ฯ เผย 6 ความท้าทาย ที่ไทยต้องเผชิญใน 5 ปี 1 ต.ค. 65 เตรียมใช้แผนพัฒนาฯ ฉบับ 13

 

 

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า  แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ได้ผ่านกระบวนการต่างๆ เรียบร้อยแล้ว และจะประกาศใช้ 1 ต.ค. 65 โดยสภาพัฒน์ได้กำหนดเป้าหมาย 20 ปี ที่ประเทศไทยจะต้องไปให้ถึง หรือ วิสัยทัศน์ประเทศไทย 2580 ว่าต้องเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว มีเศรษฐกิจที่มั่นคงมากขึ้น มีภูมิต้านทานกับวิกฤติต่างๆ โดยการพัฒนาจะอยู่บนหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประชาชนมีรายได้มั่นคงมากขึ้น ความเหลื่อมล้ำลดลง สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธาณสุข การศึกษา และความยุติธรรมได้มากขึ้น และมีสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่านี้
 

อย่างไรก็ตามในช่วง 5 ปี ต่อจากนี้ประเทศไทยจะเผชิญกับความท้าทายต่างๆ มากขึ้น ซึ่งจะเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงของประเทศ โดยความท้าทายที่สำคัญ ได้แก่ 

        1.ความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยเฉาพะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมาที่มีการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงเร่งตัวขึ้น ซึ่งปัจจุบันประชาชนได้ใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกมากขึ้น อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงนี้ก็กระทบกับบางอาชีพที่จะถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี ซึ่งหากไม่สามารถก้าวข้ามหรือเท่าทันเทคโนโลยีได้ ก็จะทำให้เกิดปัญหาเรื่อง Digital Divide มีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรู้เท่าทันและใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น  

        2.ความร่วมมือในการลดก๊าซเรือนกระจกในระดับนานาชาติ ในอนาคตโลกจะมุ่งเน้นไปสู่การพัฒนาที่มุ่งเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ประเทศไทยเองก็ได้แสดงจุดยืนว่าจะลดการปล่อยก๊าฐคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และตั้งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2065 โดยเรื่องนี้จะเกิดผลกระทบกับประเทศไทยในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปรับระบบการผลิต การบริการ และการบริโภคให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มากขึ้น ดังนั้นหากยังผลิตหรือบริโภคในรูปแบบเดิมอาจถูกมาตรการกีดกันทางการค้าในด้านสิ่งแวดล้อมได้ 

        3.การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเป็นสังคมผู้สูงวัย ในปี 2566 จะเป็นปีแรกที่ไทยจะเป็นสังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยประชากรผู้สูงอายุของไทยจะมีสัดส่วน 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งจะกระทบกับแรงงานดังนั้นจึงต้องปรับแรงงานให้มีขีดความสามารถผมากขึ้น มีผลติมากขึ้น และมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาทดแทนแรงงาน ภาครับต้องปรับระบบสวัสดิการให้ผู้สูงอายุได้มีความมั่นคงในระยะยาวหลังจากเกษียณอายุ 

        4.ความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยในช่วงทีผ่านมามีทั้งความขัดแย้งด้านมาตรการกีดกันทางการค้า ตลอดจนความรุนแรงในทวีปยุโรป โดยในช่วง 5 ปีข้างหน้า โลกจะมีการแบ่งเป็นหลายขั้วมากขึ้น ประเทศไทยต้องมีจุดยืนในการเป็นกลางและอยุ่ในสังคมโลกให้ได้

โดยความขัดแย้งเหล่านี้ส่งผลต่อซัพพลายเชนและปัจจัยการผลิต ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี อาหารสัตว์ รวมถึงราคาพลังงาน ดังนั้นในระยะต่อไปต้องทำให้ประเทศไทยยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง พึ่งพาปัจจัยภายนอกให้น้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะนำเอาอุตสากรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงกระจายตัวอยู่ในประเทศต่างๆ เข้ามาในประเทศ

        5.ความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน โดยไทยต้องปรับระบบการผลิตให้มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมากขึ้นเพื่อให้มีผลผลิตมากขึ้นและยังมีความมั่นคงด้านอาหาร เช่นเดียวกับเรื่องพลังงานที่มีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้คือราคาพลังงานซึ่งมาจากปัจจัยต่างประเทศ ดังนั้นไทยต้องปรับโครงสร้างระบบพลังงานในประเทศเพื่อให้พึ่งพาตนเองได้มากที่สุด เช่น พลังงานทดแทน 

        6. โรคอุบัติใหม่และโรคระบาด ผู้เชี่ยวชาญต่างมองว่าในอนาคตจะมีโรคระบาดใหม่ๆ เกิดขึ้น อย่างในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่มีใครคาดว่าการระบาดของโควิด-19 จะรุนแรงขนาดนี้ ดังนั้นในอนาคตอาจเกิดเหตุการแบบนี้ขึ้นอีก จึงต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องระบบสาธารณะสุขซึ่งปัจจุบันมีความแข็งแรงมาก แต่ก็มีสิ่งที่ต้องประบปรุงเพิ่มเติมคืออุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสาธารณสุข เช่น ยา หรือ วัคซีน 

นายดนุชา เปิดเผยว่า เพื่อให้ก้าวข้ามความท้าทายต่างๆ เหล่านี้ ประเทศไทยจะค่อยๆ ปรับอย่างที่ผ่ายมาไม่ได้ แต่ต้องปรับทั้งเศรษฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อมให้เร็วขึ้น หรือต้องพลิกโฉมประเทศไทยในช่วง 5 ปีข้างหน้า ให้เป็นประเทศที่มั่นคงมากขึ้น สามารถต้านทานวิกฤติต่างๆ ได้ดีขึ้น ดังนั้นหลักที่นำมาจัดทำแผนพัมนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 จึงมีด้วยกัน 4 เรื่อง ได้แก่ หลักปรัชฐาเศรษฐกิจพอเพียง  แนวคิด Resilience โมเดลเศรษฐกิจ BCG และ เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน SDGs 

สำหรับเป้าหมาย 5 ปี ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ได้แก่ 1. ปรับโครงสร้างสุ่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม รายได้ประชาชาติต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 300,000 บาทต่อปี 2.พัฒนาคนสำหรับโลกยุคใหม่ 3.มุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม โดนความแตกต่างของความเป็นอยู่ระหว่างประชากรต้องต่ำกว่า 5 เท่า 4.เปลี่ยนผ่านการผลิตและการบริโภคไปสู่ความยั่งยืน โดยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงไม่น้อยกว่า 20% เมื่อเทียบกับปริมาณปกติที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 5. สร้างความสามารถในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงทั้งในด้านโรคระบาด สภาพภูมิอากาศ ความก้าวหน้าทางดิจิทัล และประสสิทธิภาพภาครัฐ

โดยหมุดหมายการพัฒนาของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 มีทั้งหมด 13 หมุดหมาย จำแนกออกเป็น 4 มิติ ได้แก่

        1. มิติภาคการผลิตและบริการเป้าหมาย จำนวน 6 หมุดหมาย ได้แก่ ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง, ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน, ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก, ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง, ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค และไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริย และอุตสาหกรรมดิจิทัลของอาเซียน

        2. มิติโอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม มี 3 หมุดหมาย ได้แก่ ไทยมีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้มแข็ง มีศักยภาพสูงและสามารถแข่งขันได้, ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัย เติบโตได้อย่างยั่งยืน และไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลง และคนไทยทุกคนมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอ เหมาะสม

        3. มิติความยั่งยืน ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มี 2 หมุดหมาย ได้แก่ ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ และไทยสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

        4. มิติปัจจัยผลักดันการพลิกโฉมประเทศ มี 2 หมุดหมาย ได้แก่ ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต และไทยมีภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชน

“การขับเคลื่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทั้ง 13 หมุดหมาย ต้องร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งงภาครัฐ เอกชน และประชาชน ต้องจับมือและเดินไปด้วยกัน ร่วมกันแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายที่วางไว้”

นายดนุชา เปิดเผยว่า สำหรับบทบาทในการขับเคลื่อนแผนฯ 13 ขงภาครัฐ แบ่งเป็น 3 กลไก ได้แก่ 1. กลไกเชิงยุทธศาสตร์  โดยจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนฯ 13 จำนวน 5 ชุด เพื่อยูรณาการการขับเคลื่อนโดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคส่วนต่างๆ 2.กลไกเชิงภารกิจ มุ่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติผ่านการถ่ายระดับจากแผนฯ 13 สู่แผนระดับที่ 3 เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ 3.กลไทระดับพื้นที่ โดยเชื่อมโยงการพัฒนาจากชุมชนสู่ประเทศและจากประเทศสู่ชุมชนผ่านการเชื่อมโยงกับแผนในระดับพื้นที่และการขับเคลื่อนในระดับตำบล

ทั้งนี้ประชาชนทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ในการขับเคลื่อนแผนฯ 13 เช่น การเพิ่มพูนทักษะความรุ้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง  ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แสดความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะต่างๆ วางแผนทางการเงินเพื่อเตรียมพร้อมวัยเกษียณ ตลอดจนการท่องเที่ยวในประเทศ

 

 


Story