ส่องโอกาส และแนวโน้มธุรกิจ
5 หุ้นเข้าคำนวณ MSCI Small cap.
สัปดาห์ก่อน MSCI มีการประกาศรายชื่อหุ้นที่ถูกเข้าและออก รอบเดือน ก.พ. 66 อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่หุ้นที่ได้เข้าคำนวณในดัชนี MSCI มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้น

.
โดยบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า จากการศึกษาสถิติย้อนหลังในอดีต พบว่าราคาหุ้นที่ถูกเข้าคำนวณในดัชนี MSCI มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ประกาศจนถึงวันที่มีผลบังคับใช้ โดยเฉพาะหุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้า คำนวณ ดัชนี MSCI Global Standard ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 10.2% และมี ความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกราว 75% (ข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี)
.
ขณะที่หุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้าคำนวณ ดัชนี MSCI Global Small Cap ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 9.0% และมีความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกราว 75% เช่นกัน (ข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี) โดยเฉพาะหุ้นที่ไม่ได้ถูกเก็งกำไรมาก่อนมักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเสมอ
.
แม้หุ้นที่ถูกเข้าคำนวณในดัชนี MSCI มักจะให้ผลตอยแทนเป็นบวก แต่ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่บริษัทก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาควบคู่กันไปด้วย วันนี้ Wealthy Thai จึงมีคำแนะนำการลงทุนในหุ้นที่เข้าคำนวณในดัชนี MSCI Global Small Cap ทั้ง 5 บริษัท ได้แก่ AURA, BTG, ONEE, SNNP และ THCOM มานำเสนอ
.
โดยนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ให้มุมมองว่า จากจำนวนหุ้นที่เข้าคำนวณในดัชนี MSCI Global Small Cap ทั้ง 5 บริษัทนั้น ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานชอบ SNNP หรือ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) มากที่สุด เนื่องจากผลประกอบการไตรมาส 4/65 มีแนวโน้มเติบโตทั้งจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า รวมถึงคาดกำไรในปี 2566 ยังโตต่อเนื่องจากการขยายกำลังการผลิต ส่งผลให้คาดการณ์ว่ากำไรจะแตะระดับ 723 ล้านบาท หรือเติบโต 37% นับเป็นหุ้นที่มีการเติบโตสูง
.
สำหรับคำแนะนำการลงทุน ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ SNNP ปรับตัวขึ้นมาพอสมควรแล้ว ทำให้อัพไซด์เหลือน้อยกว่า 10% จากราคาเป้าหมายที่ให้ไว้ที่ 28 บาท ดังนั้นหากสนใจเข้าลงทุนหุ้น SNNP ช่วงนี้แนะนำให้รอจังหวะราคาย่อตัวก่อนค่อยเข้าซื้อ
.
ส่วน AURA หรือ บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) ไม่ได้แนะนำ เนื่องจาก บล.ทิสโก้ ให้ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 13.80 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาเกินราคาเป้าหมายแล้ว นอกจากนี้ ด้วยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทองคำ ทำให้ช่วงที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวขึ้นสูง อาจมีนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นตัวนี้แทน
.
ONEE หรือ บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ประเมินแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีแรกยังชะลอตัว และจะปรับตัวดีขึ้นตามอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อย่างไรก็ตาม แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 11.50 บาท
.
THCOM หรือ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) มองไม่น่าสนใจเนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนในการดำเนินงาน จากแผนการลงทุนที่ไม่ชัดเจน ดังนั้นปัจจัยบวกจากการเข้าคำนวณในดัชนี MSCI Global Small Cap จึงยังไม่มีน้ำหนักมากพอ
.
และ BTG หรือ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า เป็นหุ้นที่ฝ่ายวิจัยชื่นชอบ แม้คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/65 จะอ่อนตัวลงจากไตรมาส 3/65 แต่ยังอยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่อง และปรับเพิ่มขึ้นโดดเด่นจากไตรมาส 4/64 จากราคาขายหมูและไก่ในไทยเฉลี่ยในไตรมาส 4/65 ที่ปรับลดลงบ้างตามฤดูกาล แต่ราคาหุ้นตอบรับประเด็นลบดังกล่าวไปมากแล้ว ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันถือว่าถูกเมื่อเทียบกับตลาด ดังนั้นจึงให้ราคาเป้าหมาย 48 บาท
.
ส่องแนวโน้มผลประกอบการของทั้ง 5 หุ้น
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการของ SNNP บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า คาดกำไรปกติปี 2565 ที่ 529 ล้านบาท เติบโต 71% จากปีก่อน ส่วนปี 2566 ประเมินกำไรปกติที่ 722 ล้านบาท เติบโต 37% หนุนโดย 1. รายได้ขยายตัวต่อเนื่อง จากรายได้ในประเทศที่เติบโต ตามการบริโภคขยายตัว ด้านรายได้ต่างประเทศ หนุนโดยรายได้เวียดนามเติบโต (สัดส่วน 16% ของรายได้รวม) จากการรับรู้รายได้เฟส 1 เต็มปี และเริ่มรับรู้รายได้เฟส 2 และ 3 ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และ 2. อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ขยายตัวจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง และ GPM ต่างประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากโรงงานเวียดนาม คงคำแนะนำ “ซื้อ” คงราคาเป้าหมาย 30.00 บาท
.
ถัดมา ONEE บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า คาดกำไรไตรมาส 4/65 ชะลอตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากเม็ดเงินโฆษณาสื่อทีวีที่ลดลง และต้นทุนของการจัดงานอีเว้นที่สูง โดยปี 2565 คาดกำไรปกติชะลอตัว 7.2% จากปีก่อน เนื่องจากเม็ดเงินโฆษณาสื่อทีวียังคงได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อ รวมถึงรายได้ที่ฟื้นตัวอย่างการจัดงานอีเว้นต์มีอัตรากำไรที่ต่ำกว่า ขณะที่ปี 2566 จะกลับมาเติบโต 22.5% เป็น 942 ล้านบาท ตามเศรษฐกิจฟื้นตัว รายได้คอนเทนท์เพิ่มขึ้นจากการผลิตที่เป็นปกติ และการกลับมาจัดอีเว้นท์คอนเสิร์ตได้ แนะนำซื้อ มูลค่าพื้นฐาน 11.00 บาท
.
THCOM บล.กรุงศรี ระบุว่า ถึงแม้บริษัทจะชนะประมูลใบอนุญาตสองใบ (78.5 และ 119.5) แต่ฝ่ายวิจัยไม่คิดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะพลิกฟื้นได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอันในเร็วๆ นี้ เพราะในระยะกลาง THCOM ยังเผชิญกับภาวะขาดลงของธุรกิจ broadcast และ broadband จึงคิดว่าแรงกดดันทางด้านราคาจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรายได้เอาไว้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ดังนั้น จึงคาดว่ากำไรจะลดลงเฉลี่ย 17% ในปี 2566-2567 ฝ่ายวิจัยคาดว่า THCOM จะขาดทุนสุทธิ 165 ล้านบาท โดยพลิกจากกำไรในปี 2567 เพราะดาวเทียมดวงใหม่จะทำให้ต้นทุนสูงจากค่าเสื่อมราคาและค่าดอกเบี้ย ซึ่งเชื่อว่าจะมีน้ำหนักมากกว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น คงแนะนำขาย ประเมินราคาเป้าหมาย 11.70 บาท
.
สุดท้าย BTG บล.เคจีไอ ระบุว่า คาดกำไรสุทธิของ BTG ในปี 2566 จะอยู่ที่ 7.64 พันล้านบาท ลดลง 5% จากปีก่อน เพราะคาดว่า GPM จะลดลงเหลือ 18.2% จาก 19.5% ในปี 2565 เนื่องจากคาดว่าราคาเนื้อสัตว์จะลดลง อย่างไรก็ตาม ประเมินการขยายกำลังการผลิตจะช่วยหนุนให้ยอดขายโตระดับเลขหลักเดียวต่ำๆ นอกจากนี้ ยังมองว่าสมมติฐานสัดส่วน SG&A ต่อยอดขายของที่ 10.5% ยังมีอัพไซด์อีก เพราะบริษัทส่งสัญญาณว่าอาจจะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายขึ้นอีก ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยจะทบทวนสมมติฐานหลังจากที่ได้อัพเดตแผนธุรกิจปีนี้หลังจากที่ BTG ประกาศผลประกอบการแล้ว แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 38.50 บาท