ปี2561“แม่ทองสุก”ผู้ค้าทองคำรายใหญ่จะนำพาตัวเองเข้าจดทะเบียนใน SET นี่คือพันธกิจของทายาทรุ่น 3 ที่จะนำทัพธุรกิจครอบครัว ให้คงอยู่และยั่งยืน
“เราอยากเป็นฮับการลงทุนทองคำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงต้องการระดมทุนเพื่อสร้างโรงงานและขยายสาขา เราต้องการสืบทอดธุรกิจครอบครัวให้ยั่งยืน และต้องการ ‘มืออาชีพ’ เข้ามาร่วมงานด้วย จึงวางแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET ปี 2561”
คำยืนยันจาก “กีรดิต หิรัณยศิริ” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด ทายาทรุ่น 3 “แม่ทองสุก” ธุรกิจค้าทองคำครบวงจร ตั้งแต่ธุรกรรมขายปลีก ขายส่ง โรงงานผลิตทองคำ และโรงงานสกัดทองคำ โบรกเกอร์ลงทุนทองคำ รวมทั้งเป็นผู้นำเข้าส่งออกทองคำรายใหญ่ของประเทศ มียอดขายสูงสุดติดอันดับ Top 30 ของประเทศไทย
“กีรดิต” คือทายาทคนกลาง วัย 30 ปี ของ “นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ” นักเปลี่ยนแปลงผู้เข้ามาปฏิวัติธุรกิจร้านทองของครอบครัว (ร้านทอง “โง้วย่งฮง” กับ “ยู ฮอง”) ที่ดำเนินกิจการมาตั้งแต่ปี 2495 จนกลายเป็น “ห้างทองแม่ทองสุก” และขยับมาเป็นผู้ค้าทองคำรายใหญ่ของประเทศอย่างวันนี้ โดยมีเหล่าทายาท “ณัฐพงศ์, กีรดิต และ ดลพร” พร้อมสานต่อธุรกิจครอบครัวในยุคที่ 3
วันนี้มีความเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้นกับแม่ทองสุก แต่ในยุคที่ทายาทเข้ามาบริหารใหม่ๆ ไม่ง่ายเลยสักนิด
“ผมจบไฟแนนซ์จากอเมริกา ทำงานที่เมืองนอก แล้วมาทำกสิกรไทยต่ออีกปี พอกลับมาบ้านตอนนั้นความมั่นใจเต็มร้อย คิดว่าอย่างไรก็ต้องสามารถรันธุรกิจให้เดินหน้าชนิดติดฟอร์บส์ได้เลย มั่นใจขนาดนั้น ผมเริ่มเขียนแผนธุรกิจ เขียนดีเลยนะ ปรากฏไป Pitch งานกับคุณพ่อแค่ 5 นาที ท่านฉีกกระดาษทิ้ง! ความมั่นใจจากร้อย เหลือ 0 ทันที”
คนหนุ่มบอกเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน หลังกลับมาสานต่อธุรกิจครอบครัวด้วยไฟแรงเต็มกำลังวัตต์ ทว่าทุกอย่างกลับหยุดชะงักเมื่อค้นพบความจริงที่ว่า..
“การทำธุรกิจครอบครัว ใช้มากกว่าความรู้ที่เราเรียนมา ผมไม่ได้ทำงานกับคนที่เป็นแค่หัวหน้า แต่เขาเป็นทั้งพ่อ คนที่ให้เงินใช้ตั้งแต่เด็ก มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งและมีหลายมิติมาก เป็นความท้าทายที่ต้องใช้ความอดทนเยอะมาก”
ขายงานตรงกับพ่อจอดตั้งแต่ 5 นาทีแรก คนหนุ่มเปลี่ยนวิธีมาเข้าทาง “มือซ้าย-มือขวา” พนักงานคนสนิทที่พ่อไว้ใจ เขาว่า Pitch งานกับพนักงานให้ผ่านได้ ก็เปลี่ยนใจพ่อได้ไม่ยาก จากนั้นก็ใช้วิธี “ลงมือทำ” พิสูจน์ตัวเองให้ท่านเห็น ค่อยๆ เรียกความไว้วางใจคืนจากผู้เป็นพ่อ
แม้จะเจองานหนักในช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อทำให้คนรุ่นก่อนยอมรับได้ เราเลยได้เห็นอะไรใหม่ๆ ในแม่ทองสุกยุคทายาท ตั้งแต่การใช้เครื่องจักรมาทำงานแทนคนในกระบวนการผลิต เพื่อลดความสูญเสีย ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำงาน และเริ่มที่จะสร้าง “Core Value”(ค่านิยมองค์กร) ของบริษัท เพื่อให้ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน
“แต่ก่อนไม่มี Mission (พันธกิจ) Vision (วิสัยทัศน์) คืออะไร บอก ‘แค่รวยก็พอแล้ว’ ผมต้องแอบไปจ้างให้คนเขียนขึ้นมา ใช้เงินตัวเองนี่แหล่ะ เพราะคิดว่า ธุรกิจครอบครัวที่เคยเจอมา คือ คุณพ่ออยากทำแบบนี้ เดี๋ยวแม่มา พี่ชายมา จะทำอีกอย่าง ไปคนละทิศคนละทาง เลยคิดว่าจะดีกว่าไหมถ้าคุยกันให้ชัดเจนไปเลยว่า เป้าหมายของเราคืออะไร ผมคิดว่า การมีเป้าหมายเดียวกันจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นมาก” เขาเชื่อเช่นนั้น
จากทำงานไม่ค่อยเป็นระบบ สั่งงานกันแบบวันต่อวัน ก็เริ่มใช้ระบบเข้ามาประเมินผลการทำงาน มีการวัด KPI คนในองค์กร เขาว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยากมาก ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป และตั้งเป้าหมายระยะสั้นๆ เมื่อทำได้ก็ให้รางวัล เพื่อให้พนักงานค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับระบบใหม่นี้
พนักงานแม่ทองสุกมีอยู่ประมาณ 350 คน เป็นคนเก่าแก่ 60% อีก 40% คือเลือดใหม่ คนหนุ่มบอกว่า “ดีเอ็นเอคนแม่ทองสุก” ที่อยากให้ทุกคนเป็น คือ คนที่มีใจรักบริการ รักองค์กร และซื่อสัตย์ เพราะนั่นสำคัญกับธุรกิจนี้
“ถ้าเต็ม 10 ผมว่า วันนี้องค์กรเราน่าจะอยู่สัก 6.5 ถามว่าแฮปปี้ไหม ถ้าเทียบกับแต่ก่อนก็ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังคงต้องปรับปรุงกันต่อไป”
โจทย์ในเวทีธุรกิจยังมีให้รับมือมากมาย เพื่อนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำด้านการลงทุนในทองคำ เป็นฮับ (ศูนย์กลาง) การลงทุนทองคำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังเห็นโอกาสจากคนภูมิภาคนี้ชอบทองเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว โดยพวกเขาหวังจะขยายธุรกิจไปทั่วอาเซียน ซึ่งปัจจุบันมีพันธมิตรอยู่ที่กัมพูชา และลาว โดยเริ่มซื้อขายกันแล้ว และกำลังจะขยายไปที่เมียนมา มาเลเซีย และเวียดนาม โดยเชื่อว่าจะคลุมทั้งอาเซียนได้หลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ ในอีก 2 ปีจากนี้
“หลังจากเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เราจะเริ่มทำโรดโชว์ในต่างประเทศ ซึ่งพอเป็นมหาชนแล้ว ต่างชาติจะรู้สึกว่า เราเป็นบริษัทที่ น่าเชื่อถือ มีตัวตน และอยากลงทุนกับเรามากขึ้น” เขาฝากความหวัง
การเข้าตลาดฯ นอกจากเป้าหมายเพื่อระดมทุนหาเม็ดเงินมาสร้างโรงงานและขยายสาขา หรือดึงมืออาชีพเข้ามาร่วมงานกับองค์กร เป้าหมายที่สำคัญไปกว่านั้น คือการ “สืบทอดธุรกิจครอบครัวให้ยั่งยืน” ไม่ต้องหายไปแค่รุ่น 3 เหมือนที่หลายตระกูลกำลังประสบปัญหา
“ผมเห็นความลำบากของพ่อแม่ และพ่อแม่เองท่านก็อยากให้บริษัทนี้อยู่คู่กับประเทศไทยไปนานๆ เราเห็นตรงกันว่า ถ้าเข้าตลาดฯ ก็จะมีคนมาช่วยเราบริหาร พ่อแม่เองท่านจะได้พักผ่อน แม้ท่านจะก่อตั้งธุรกิจนี้มา แต่ก็ไม่ได้หวงว่าจะต้องเป็นของครอบครัวเราตลอดไป แต่ท่านอยากให้ชื่อ ‘แม่ทองสุก’ อยู่คู่กับประเทศไทย อยากให้มีตัวตน และอยากให้รุ่นลูกรู้สึกภาคภูมิใจกับธุรกิจนี้” คนหนุ่มบอก
เป้าหมายหลังเข้าตลาด พวกเขาคาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นเท่าตัว และสามารถรักษาชื่อ “แม่ทองสุก” ให้อยู่คู่ประเทศไทยไปได้อีกหลายรุ่น
เพื่อตอบความยั่งยืนของธุรกิจครอบครัว ในยุคที่แสนท้าทายอย่างวันนี้
..............................
Key to success
สูตรบริหารธุรกิจครอบครัว
ฉบับ “แม่ทองสุก”
๐ ให้ลูกหลานคลุกคลีกับธุรกิจครอบครัวตั้งแต่เด็ก
๐ เรียนรู้โมเดลจากธุรกิจครอบครัวที่สำเร็จแล้วปรับใช้
๐ เริ่มเขียน “ธรรมนูญครอบครัว” กำกับดูแลสมาชิก
๐ ตั้งกฎครอบครัวต้องไปเที่ยวด้วยกันทุกไตรมาส เชื่อมสัมพันธ์
๐ ทำงานทะเลาะกันได้ แต่กลับบ้านต้องกินข้าวด้วยกัน
๐ คุยกันให้มาก สื่อสารกันให้ชัด และใช้ความอดทน
๐ วางแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ รักษาธุรกิจครอบครัวให้ยั่งยืน
ขอบคุณที่มข้อมูลจาก