อเมริกาจะล้มละลายได้อย่างไร | Global Vision
By ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์
หนังสือ How Countries Go Broke ของ Ray Dalio ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates กองทุน Hedgefund อันดับหนึ่งของโลก เหมือนต่อยอดและลงลึกจากหนังสือ Changing World Order ที่เคยศึกษาไว้

ในหนังสือเล่มก่อน Dalio ระบุว่าวัฏจักรการเปลี่ยนแปลงมหาอำนาจทุกๆ 75 ± 10 ปี และเชื่อว่าสหรัฐกำลังเข้าสู่ช่วงตกต่ำ โดยมี 5 วิกฤติที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของมหาอำนาจโลก ได้แก่ (1) วิกฤติหนี้สาธารณะ (2) วิกฤติการเมืองภายในประเทศ (3) วิกฤติการเมืองระหว่างประเทศและระเบียบโลก (4) วิกฤติภัยธรรมชาติ และ (5) การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ส่วนในหนังสือเล่มนี้ Dalio ชี้ว่า “วิกฤติหนี้สาธารณะ” จะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของสหรัฐ
สหรัฐปัจจุบันมีรายได้ 5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี แต่ใช้จ่าย 7 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้ขาดดุลงบประมาณปีละ 2 ล้านล้านดอลลาร์ พร้อมหนี้สะสม 36 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 6 เท่าของรายได้ภาษี (คิดเป็น 720% ของรายได้) โดยมีค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายปีละ 1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 20% ของรายได้รัฐบาล (ตามหลักการแล้ว Interest coverage ratio ปกติไม่ควรเกิน 10-15% ของรายได้) ซึ่งหนี้และรายจ่ายที่สูงขนาดนี้ ไม่ยั่งยืนและเป็นความเสี่ยงต่อวิกฤติการคลัง
นอกจากนั้น Dalio ยังมองว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้าหนี้สาธารณะจะพุ่งไปที่ 55-60 ล้านล้านดอลลาร์ จากการกู้เพิ่ม 25-30 ล้านล้านดอลลาร์ หนี้ต่อรายได้จะเป็น 7-7.5 เท่าต่อรายได้ ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆ เคยล้มละลายมาแล้ว เช่น กรีซ อาร์เจนตินา หรือเลบานอน ที่หนี้สาธารณะอยู่ที่ 4-7 เท่าต่อรายได้
ทั้งนี้ เขาเชื่อว่า เมื่อสหรัฐขาดดุลการคลังมากขึ้น (ปัจจุบันขาดดุลประมาณ 6.5% GDP) จากรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ทำให้ต้องออกพันธบัตรมากขึ้น และจะกระทบต่อดอกเบี้ยพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น ทำให้รัฐบาลต้องบังคับให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ลดดอกเบี้ย เพื่อทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐลดลงและทำให้เกิดเงินเฟ้อ
เพื่อให้มูลค่าที่แท้จริงของหนี้สาธารณะลดลง แต่การลดดอกเบี้ยท่ามกลางเงินเฟ้อที่เริ่มสูงขึ้น จะทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมากขึ้น และอาจทำให้หมดความน่าเชื่อถือ โดยเขามองว่า ห้วงเวลาที่สหรัฐจะเกิดวิกฤติคือ 3+/-2 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม Dalio มองว่า ยังมีหนทางที่สหรัฐจะรอดได้ โดยเสนอ “3% Three-Part Solution” เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณลงเหลือ 3% ของ GDP ผ่านการลดการใช้จ่าย 5% เพิ่มรายได้ภาษี 5% และลดอัตราดอกเบี้ย 1-1.5% พร้อมกัน ซึ่งเขาเรียกว่า “Beautiful Deleveraging” หรือการลดภาระหนี้อย่างสมดุลโดยไม่ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ
อย่างไรก็ตาม ตัว Dalio เองยอมรับว่า โอกาสที่จะทำได้สำเร็จมีเพียง 5% เท่านั้น เพราะทั้งสองพรรคจะไม่ยอมลดการใช้จ่าย (จุดยืนของเดโมแครต) หรือขึ้นภาษี (จุดยืนของรีพับลิกัน) ซึ่งจะเหลือทางเดียวคือการที่ประธานาธิบดีทรัมป์บีบ Fed ให้ลดดอกเบี้ย ซึ่งนั่นอาจนำมาสู่วิกฤติได้
เขามองว่า จะมี 2 เหตุการณ์ที่จะนำมาซึ่งวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐ อันได้แก่ (1) การทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องเพิ่มมากขึ้นและดอกเบี้ยลดลง (2) รัฐบาลกลางสามารถควบคุม Fed ได้ (ซึ่งอาจเป็นไปได้มากขึ้นเมื่อทรัมป์ประกาศชื่อประธาน Fed ท่านใหม่ในกลางปีหน้า)
แม้จะเห็นด้วยกับภาพรวมของ Dalio เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของวิกฤติหนี้สาธารณะในสหรัฐแต่ผู้เขียนมองว่ามี 5 ปัจจัยสำคัญ ที่อาจทำให้สถานการณ์แตกต่างจากที่ Dalio วาดภาพไว้ ดังนี้
1.ผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ การที่ทรัมป์เริ่มเก็บ reciprocal tariff และภาษีการค้าอื่นๆ อาจช่วยเพิ่มรายได้ของรัฐบาล ซึ่งอาจช่วยลดทอนการขาดดุลงบประมาณได้ในระดับหนึ่ง โดยตั้งแต่เดือน เม.ย.-ส.ค. 2025 รัฐบาลเก็บภาษีศุลกากรได้ 1 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3 เท่าจากปีก่อน และภาษีศุลกากรคิดเป็น 5% ของรายได้รัฐบาล เพิ่มขึ้นจาก 2% ในอดีต
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับขาดดุล 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี รายได้จากภาษีศุลกากร 1 แสนล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 5 เดือน หรือประมาณ 2.4 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี สามารถลดขาดดุลได้เพียง 12% เท่านั้น ยังไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาโครงสร้างที่ร้ายแรงนี้
2.One Big Beautiful Bill Act (OBBBA) หรือ พ.ร.บ. งบประมาณของรัฐบาล ที่ทรัมป์ลงนามเมื่อ 4 ก.ค. ซึ่งสำนักงบประมาณของรัฐสภา (CBO) ระบุว่าจะเพิ่มขาดดุลงบประมาณ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า และเพิ่มหนี้รวม 3 ล้านล้านดอลลาร์รวมดอกเบี้ย
หากขยายข้อกำหนดชั่วคราวให้ถาวร จะเพิ่มหนี้เป็น 5 ล้านล้านดอลลาร์ โดย OBBBA ขยายการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและยกเลิกภาษีเงินได้จากทิป, โอเวอร์ไทม์ และประกันสังคมสำหรับผู้สูงอายุ รวมถึงลดหย่อนภาษีท้องถิ่น (SALT)
แต่สิ่งที่กระทบรุนแรงที่สุด คือ ในอนาคตอันใกล้ เป็นไปได้ที่ทรัมป์มีแนวโน้มจะลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 15% สำหรับบริษัทที่ผลิตในสหรัฐซึ่งจะลดรายได้รัฐอีก 2.0-6.8 แสนล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ความเสี่ยงวิกฤติการคลังยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
3.ความย้อนแย้งของนโยบายการเงิน โดยตามหลักการแล้ว การเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นจะทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นตาม terms of trade ที่ดีขึ้น (ภาษีทำให้สหรัฐลดการนำเข้า และข้อตกลงต่าง ๆ ที่บังคับให้คู่ค้าลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐ จะทำให้มูลค่าส่งออกสหรัฐเพิ่มขึ้น) แต่จะทำให้เงินเฟ้อในประเทศสูงขึ้น ส่งผลให้ Fed ลดดอกเบี้ยได้ลำบากขึ้น แต่หาก Fed ยังฝืนลดดอกเบี้ย อาจทำให้เงินเฟ้อพุ่งทะยาน และนำไปสู่วิกฤติเงินเฟ้อแต่เศรษฐกิจตกต่ำ (stagflation) ที่รุนแรงได้
4.การขาดทางเลือกทดแทนในระบบการเงินโลก ในระยะสั้น ยังไม่มีสกุลเงินของประเทศอื่นใดที่จะสามารถเป็นเงินสกุลหลักของโลก (anchor currency) ได้ รวมถึงไม่มีพันธบัตรอื่นใดที่จะมีสภาพคล่องสูงเท่าพันธบัตรสหรัฐทำให้ยังคงมี demand ในเงินดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอยู่เสมอ
5. ปัจจัยที่ไม่แน่นอนที่สำคัญที่สุด ได้แก่ การแต่งตั้งประธาน Fed ท่านใหม่ โดยหากทรัมป์แต่งตั้งบุคคลที่ “สั่งได้” อย่าง Arthur Burns อดีตประธาน Fed สมัยประธานาธิบดี Richard Nixon อาจทำให้ผู้คนไม่เชื่อมั่นใน Fed ทำให้เงินเฟ้อพุ่ง และทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเกิดวิกฤติได้
แม้ว่าการเกิดวิกฤติหนี้สาธารณะสหรัฐจนทำให้หลุดจากการเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจจะยังเป็นไปได้ยากในระยะสั้น แต่ความผันผวนทางเศรษฐกิจจะมีมากขึ้นแน่นอน นักธุรกิจ นักลงทุน และผู้กำหนดนโยบาย เตรียมพร้อมรับมือแล้วหรือยัง
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัดอยู่
ที่มา. https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1194029