ห้องเม่าปีกเหล็ก

หูตึงกับผู้สูงวัย เรื่องธรรมดาที่อาจแย่กว่าที่คิด

โดย CARE
เผยแพร่ :
144 views

หูตึงกับผู้สูงวัย เรื่องธรรมดาที่อาจแย่กว่าที่คิด

นายแพทย์ปีติ เนตยารักษ์

 

 

ระบบประสาทรับสัมผัส (Special Sensations) ของเราประกอบไปด้วย การมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส และการกระทบสัมผัส ซึ่งเป็นเสมือนประตูสู่การรับรู้โลกภายนอก สัญญาณประสาทจากอวัยวะรับสัมผัสจะส่งข้อมูลผ่านทางเส้นประสาทไปยังสมอง เพื่อทำการแปลผลสิ่งที่รับรู้ วิเคราะห์ จดจำและตอบสนองออกมาในรูปแบบของความคิด คำพูด หรือการกระทำ การมีระบบประสาทรับสัมผัสที่สมบูรณ์ จึงมีผลอย่างมากต่อความสามารถในการเอาตัวรอด และพัฒนาการของมนุษย์

การมองเห็นเหมือนจะเป็นประสาทสัมผัสหลักที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ แต่พวกเราก็สื่อสารด้วยเสียงกันมาอย่างยาวนาน ก่อนจะมีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมาให้อ่านเมื่อราวสี่พันปีก่อน ในบางสถานการณ์ ​การได้ยินอาจจะสำคัญกว่าการมองเห็นด้วยซ้ำ เนื่องเพราะตาของเราสามารถมองเห็นได้เฉพาะสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ในขณะที่หูสามารถได้ยินเสียงจากรอบทิศทาง แถมไวต่อเสียง โดยเฉพาะเสียงดังอีกด้วย เพราะตามธรรมชาติ เสียงที่ดังขึ้นมากะทันหัน อาจหมายถึงสัญญาณอันตราย จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเราบางคนจะสะดุ้งตื่นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก หรือรู้สึกว่าสมาธิเกิดขึ้นได้ยากเวลาอยู่ในที่ๆ มีเสียงดัง

สำหรับผู้สูงวัย อายุที่เพิ่มขึ้นกับความเสื่อมของระบบประสาทรับสัมผัส ต่างๆ ดูเหมือนจะเป็นของคู่กัน เราคงเคยได้ยินประโยค “คนแก่หูตาฝ้าฟาง” กันมาบ้าง หรือเคยเห็นมาจากคุณปู่ย่าตายาย ผู้สูงวัยท่านอื่นๆ จนคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของวัยและไม่ใช่ปัญหาสุขภาพเร่งด่วนอะไร จึงละเลยที่พาผู้สูงวัยมารับการตรวจรักษาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่อาศัยอยู่ตามลำพังหรือไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

ข้อมูลตามสถิติ ผู้สูงวัยที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปจะมีปัญหาด้านการได้ยินอยู่ที่ร้อยละ 40-60 และเพิ่มสูงมากกว่าร้อยละ 80 ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 85 ปี

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องการมองเห็นหรือการได้ยินที่ลดลงในผู้สูงวัยไม่เพียงแค่ทำให้การสื่อสารยากลำบากขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตได้มากกว่าที่คิด อย่างเช่น ความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงภาวะสมองเสื่อมหรือโรคซึมเศร้าที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น

ปัญหาการได้ยินผิดปกติในผู้สูงวัย

สามารถแบ่งได้ตามตำแหน่งของรอยโรค ออกเป็น

  1. ความผิดปกติของช่องทางการรับเสียง เช่น การมีขี้หูอุดตันในรูหู การอักเสบในช่องหูชั้นนอก หรือช่องหูชั้นใน
  2. ความผิดปกติของเส้นประสาทการได้ยิน เช่น จากความเสื่อมตามธรรมชาติ การอักเสบของเส้นประสาทที่เกิดจากการติดเชื้อหรือจากยาบางชนิด เนื้องอกของเส้นประสาท หรือเกิดจากโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น
  3. ความผิดปกติของสมองส่วนที่ทำหน้าที่รับและแปลสัญญาณการได้ยิน เช่น ความเสียหายจากโรคหลอดเลือดสมอง เนื้องอกหรือโรคสมองเสื่อมบางชนิดซึ่งทำให้แม้จะมีเสียงเข้ามา แต่สมองก็ไม่สามารถแปลผลออกมาเป็นการได้ยินได้ หรือแปลสัญญาณเสียงเข้ามาผิดเพี้ยนไปจากเดิม

ความผิดปกติดังกล่าว เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งที่พบได้ค่อนข้างบ่อยและพอจะหลีกเลี่ยงได้ อย่างเช่น

  • การได้ยินเสียงดังต่อเนื่องกันนานๆ บ่อยๆ เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เช่น การฟังเพลงเสียงดัง หรือการทำงานกับเครื่องจักร เครื่องมือที่ส่งเสียงดัง จึงควรปรับความดังของเสียงเพลงให้เหมาะสม ใช้อุปกรณ์ช่วยกั้นหรือลดเสียงจากแหล่งกำเนิดหรือแบบที่สวมครอบหูของเรา
  • ยาที่มีผลข้างเคียงต่อการได้ยิน (Ototoxic Medication) เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาเคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ยาขับปัสสาวะบางชนิด แม้กระทั่งยาลดการอักเสบ หรือยาที่เราคุ้นเคยกันดีอย่างแอสไพริน ก็มีรายงานว่าสามารถทำให้เกิดปัญหาการได้ยินขึ้นได้ โดยปกติแพทย์ผู้สั่งจ่ายยาจะสอบถามอาการเป็นระยะๆ อยู่แล้ว แต่ญาติหรือผู้ป่วยเองก็ควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติด้วยตนเอง เช่นกัน
  • การติดเชื้อในช่องหู หรือที่ระบบประสาทส่วนกลาง ไม่ว่าจะเป็นจากเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราบางชนิด เคยมีข่าวผู้ป่วยเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่อาจทำให้สูญเสียการได้ยินร่วมด้วยจากการติดเชื้อแบคทีเรีย “สเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส” (Streptococcus Suis) ที่มาจากเนื้อหมูที่ปรุงไม่สุก โดยอาจจะรับประทานเข้าไปโดยตรง หรือจากการใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูดิบเอาไปปรุงแล้วคีบอาหารเข้าปากต่อ หรือใช้มีดหั่นเนื้อหมูดิบที่ปนเบื้อนเชื้อแล้วนำมาหั่นผัก แล้วเราก็กินผักสดที่ปนเบื้อนเชื้อนั้นเข้าไป เป็นต้น
  • โรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตไปยังเส้นประสาททำให้เส้นประสาทหูเสื่อมเร็วขึ้น การควบคุมโรคประจำตัวดังกล่าวให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดให้ได้โดยเร็วจึงมีความสำคัญ ด้วยการรู้จักควบคุมอาหาร รับประทานยาให้ครบ และมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจประเมินผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น เมื่อผู้สูงวัยบ่นถึงปัญหาการได้ยินที่ผิดปกติหรือญาติสังเกตเห็นก็ควรพามาพบแพทย์เพื่อให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างเหมาะสมเพื่อหาตำแหน่งที่ผิดปกติ รวมถึงสาเหตุ เพราะความผิดปกติในการได้ยินบางอย่างสามารถรักษาให้หายหรือดีขึ้นได้

หูตึงก็สมองเสื่อมได้นะ

มีการศึกษาที่พบว่า ผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมได้ตั้งแต่ 2 ถึง 5 เท่า เพราะเมื่อสูญเสียการได้ยิน จะทำให้สมองบางส่วนไม่ได้รับการกระตุ้น ขณะเดียวกัน สมองบางส่วนกลับต้องทำงานมากกว่าปกติเพื่อการรับรู้ข้อมูล ความไม่สมดุลกันของสมองบางส่วนที่ทำงานน้อยไปและสมองบางส่วนที่ทำงานมากไป ในระยะยาวจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงข่ายของประสาททั้งเชิงโครงสร้างและการทำงาน ซึ่งเป็นตัวเร่งความเสื่อมของเนื้อเยื่อสมองให้เร็วขึ้น ส่งผลทำให้ศักยภาพของสมองลดลง

นอกจากนี้ ในแง่ของจิตใจ ผู้สูงอายุที่มีปัญหาการได้ยิน ไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้เหมือนปกติก็มีแนวโน้มที่จะแยกตัวออกจากสังคม เข้าร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ลดลง เกิดความรู้สึกกดดัน หงุดหงิด ผิดหวัง นำไปสู่ภาวะเครียดและซึมเศร้าได้ ซึ่งเป็นเหตุที่นำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมได้เช่นกัน รวมถึงผู้ป่วยที่เริ่มมีภาวะสมองเสื่อมอยู่แล้วก็จะยิ่งเสื่อมเร็วขึ้น

ดังนั้น การดูแลรักษาความผิดปกติในการได้ยินแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อมนี้ได้ มีการศึกษาที่พบว่าอุปกรณ์ช่วยการได้ยินต่างๆ สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะสมองเสื่อมได้เกือบ 20%

แม้ว่าผู้สูงวัยจะมีปัญหาเรื่องการได้ยิน ทำให้สื่อสารกันลำบากขึ้น แต่การพูดคุยกันก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น นอกเหนือจากการใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยการได้ยินแล้ว ยังมีคำแนะนำเพิ่มเติมที่อาจจะช่วยให้การสนทนากับผู้สูงวัยที่มีปัญหาการได้ยินเป็นไปอย่างราบรื่นมีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้แก่

  • เลือกสถานที่เงียบๆ เวลาพูดคุยกัน
  • มีแสงสว่างเพียงพอเพื่อให้สามารถมองเห็นหน้ากันได้ชัด
  • ถ้าเป็นไปได้ให้ผู้ฟังได้เห็นปากของเราด้วย เพื่อช่วยให้สามารถอ่านริมฝีปากได้ แต่ถ้าจำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยก็ไม่เป็นไร
  • พยายามสบตาเสมอเวลาพูดคุย เพื่อให้ผู้สูงวัยรู้ว่าเรากำลังคุยกับท่าน
  • พูดช้าๆ ใช้เสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย (ไม่ถึงกับตะโกน) และใช้โทนเสียงที่ต่ำ
  • อาจจะต้องพูดซ้ำหลายครั้ง
  • ลองเปลี่ยนไปใช้คำง่ายๆ คำอื่นแทน เหมือนเวลาที่คุยกับเด็ก อาจจะทำให้ผู้ป่วยฟังเข้าใจได้มากขึ้น
  • หากพูดคุยกันหลายคน ขอให้พูดทีละคนและไม่พูดแทรกกันไปมา
  • ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าเรายินดีคุยกับเขา ไม่แสดงทีท่าหงุดหงิด เบื่อหน่าย หรือท่าทางที่ไม่อยากสนทนาต่อ เพราะจะทำให้ผู้สูงวัยรู้สึกผิด น้อยใจจนไม่อยากคุยกับใครอีก 

สรุป

สำหรับผู้สูงวัย นอกจากการมีสุขภาพที่ดีแล้ว การมีเป้าหมายในชีวิตและการมีส่วนร่วมในชุมชน มีเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องให้ได้พบปะพูดคุย เป็นองค์ประกอบของชีวิตที่ช่วยให้มีความสุขในการใช้ชีวิตและยังมีส่วนช่วยชะลอความเสื่อมของสมองได้อีกด้วย ซึ่งการได้ยินเสียงที่ชัดเจนพอมีส่วนสำคัญในการสื่อสาร ดังนั้นปัญหาการได้ยินที่ลดลงในผู้สูงวัยอาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากปล่อยทิ้งไว้ย่อมส่งผลเสียระยะยาว โดยเฉพาะการเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะสมองเสื่อม

ด้วยเหตุนี้ ผู้สูงวัยที่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน จึงควรพบแพทย์เพื่อให้ได้รับการตรวจรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงพิจารณาใช้เครื่องช่วยฟังอย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถคงคุณภาพชีวิตที่ดีไว้ได้ยาวนานที่สุด

นายแพทย์ปีติ เนตยารักษ์

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทและสมอง โรงพยาบาลธนบุรี / Medical Advisor บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) จบการศึกษาคณะแพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และวุฒิบัตรอายุรศาสตร์ประสาทวิทยา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และหลักสูตรการอบรมเพิ่มเติม

การอบรมหลักสูตร “การใช้สารสกัดกัญชาทางการแพทย์สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

  • Certificate of Attendance the Asian Oceanian Congress of Clinical Neurophysiology Conference, Seoul, South Korea
  • Certificate of Attendance the Congress of the European Academy of Neurology, Lisbon, Portugal
  • Certificate of Attendance the WCN 2017 Education Program, Kyoto, Japan
  • Certificate of Attendance the Congress of the European Academy of Neurology, Amsterdam, Netherlands
  • Certificate of Attendance the WCN 2009 Education Program, Bangkok, Thailand
  • Presentation “Nonconvulsive status epilepticus during sleep in post-ischemic stroke patient” in Congress of the neurological society of Thailand, Bangkok, Thailand

 

 

 

 


CARE