ห้องเม่าปีกเหล็ก

ตึงเครียดทุกมิติ!

โดย illumitus
เผยแพร่ :
88 views

ตึงเครียดทุกมิติ! ทรัมป์เปิดฉากขู่, ตลาดหุ้นแดงเดือด, ไต้หวันเลือกข้าง, คริปโตเฮลั่น | Podcast Available

 

วันนี้มีหลายเรื่องเลยค่ะ เดี๋ยวแอดไล่ไปทีละเรื่องนะคะ

เจาะลึกสถานการณ์: "ทรัมป์" เอาจริง! ไม่ใช่แค่ขู่ แต่โลกกำลังเข้าใกล้สงครามเต็มที

สถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่า "ตึงเครียดทุกมิติ" และมีรายละเอียดที่ชี้ว่านี่อาจไม่ใช่แค่การขู่ แต่เป็นการเตรียมความพร้อมสู่ความขัดแย้งเต็มรูปแบบค่ะ

 

 

 

การเคลื่อนไหวของ "ทรัมป์" และสหรัฐฯ ที่ไม่ธรรมดา

 

ประชุมด่วนในห้องลับ: การที่ทรัมป์รีบออกจากที่ประชุม G-7 เพื่อกลับมาประชุมใน "ห้องสถานการณ์" (Situation Room) ซึ่งเป็นห้องบัญชาการลับสุดยอดในทำเนียบขาวนานกว่า 1 ชั่วโมง และหลังจากนั้นก็ต่อสายตรงคุยกับนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูของอิสราเอลทันที เป็นสัญญาณว่ามีการหารือในเรื่องที่สำคัญและเร่งด่วนอย่างยิ่ง

คำขู่ที่ส่งออกมาเป็นชุด: ทรัมป์ไม่ได้ขู่แค่ครั้งเดียว แต่ใช้โซเชียลมีเดียส่งสาส์นที่แข็งกร้าวออกมาอย่างต่อเนื่อง

เริ่มต้นด้วยการโพสต์ข้อความด้วย "ตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด" (ALL-CAPS) เรียกร้องให้อิหร่าน "ยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข" (UNCONDITIONAL SURRENDER) ตามมาด้วยโพสต์ที่พุ่งเป้าไปที่ผู้นำสูงสุดของอิหร่านโดยตรงว่า "เรารู้แน่ชัดว่า 'ผู้นำสูงสุด' ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เขาเป็นเป้าหมายที่ง่าย แต่ตอนนี้เขายังปลอดภัยอยู่ - เราจะไม่จัดการเขา (ฆ่า!), อย่างน้อยก็ในตอนนี้" การใช้วงเล็บว่า (ฆ่า!) ทำให้คำขู่ดูจริงจังและน่ากลัวยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าทรัมป์เคยสั่งการลอบสังหารนายพลระดับสูงของอิหร่านมาแล้วในสมัยแรก

และตอกย้ำแสนยานุภาพของสหรัฐฯ ด้วยการประกาศว่า "ตอนนี้เราควบคุมน่านฟ้าเหนืออิหร่านได้อย่างสมบูรณ์และเบ็ดเสร็จ" (we now have complete and total control of the skies over Iran) ก่อนจะปิดท้ายด้วยการส่งสัญญาณเตือนว่า "ความอดทนของเราเริ่มจะหมดลงแล้ว" (our patience is wearing thin)

สหรัฐฯ คือ "ตัวเปลี่ยนเกม": แหล่งข่าวระบุชัดเจนว่า "อาวุธของอเมริกาถูกมองว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการทำลายล้างโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านให้สิ้นซาก" ซึ่งเป็นสิ่งที่อิสราเอลเพียงลำพังทำไม่ได้ มีการพูดถึงการพิจารณาใช้อาวุธเฉพาะทางอย่าง "ระเบิดบังเกอร์บัสเตอร์" (Bunker-Buster Bomb) ที่ออกแบบมาเพื่อทำลายเป้าหมายใต้ดินโดยเฉพาะ

 

อิสราเอล "เดินหน้าเต็มกำลัง" โจมตีทุกเป้าหมาย

ยกระดับการโจมตี: รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอลประกาศชัดว่าจะโจมตี "เป้าหมายที่สำคัญอย่างยิ่งในกรุงเตหะราน" ไม่ใช่แค่โรงงานนิวเคลียร์ แต่ยังรวมถึง ผู้นำกองทัพและโครงสร้างพื้นฐาน สำคัญๆ ด้วย นอกจากนี้อิสราเอลอ้างว่าตนเองสามารถ ครองความเหนือกว่าทางอากาศ (Air Superiority) เหนือน่านฟ้าส่วนใหญ่ของอิหร่านได้แล้ว ทำให้สามารถส่งเครื่องบินเข้าไปทิ้งระเบิดเมืองใหญ่ๆ ได้ตามต้องการ

ความล้มเหลวของโต๊ะเจรจา: สิ่งที่น่าเสียใจคือ ก่อนที่อิสราเอลจะเปิดฉากโจมตีไม่กี่สัปดาห์ อิหร่านกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ แต่การโจมตีครั้งนี้ทำให้การทูตทั้งหมดต้องพังครืนลงมา

 

อิหร่าน "ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก"

ตลอด 5 วันที่ผ่านมา อิหร่านได้ยิงขีปนาวุธตอบโต้อิสราเอลหลายระลอก (มีรายงานเสียงระเบิดดังในเทลอาวีฟ) และเตรียมการโจมตีเพื่อเอาคืนผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาค อย่างไรก็ตามอินหร่านกำลังเผชิญ "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางยุทธศาสตร์" โดยอิหร่านจะแสดงความอ่อนแอไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ทางเลือกในการตอบโต้กลับมีน้อยลง เพราะกองกำลังพันธมิตรในภูมิภาค (เช่น กลุ่มฮิซบอลเลาะห์) ถูกทำให้อ่อนแอลงไปมากจากสงครามกับอิสราเอลนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023

 

ต้นทุนที่ต้องจ่าย: ตัวเลขผู้เสียชีวิตในอิหร่านจากเหตุการณ์นี้พุ่งไปกว่า 200 คนแล้ว ขณะที่ในอิสราเอลอยู่ที่ 24 คน

 

ส่องตลาดการเงิน: ทำไมนักลงทุนถึง "กลัว" กันขนาดนี้?

ภาวะ "Risk-Off" หรือการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงนั้นรุนแรงและเห็นภาพชัดเจนขึ้นมากเมื่อเราดูตัวเลขจริงๆ ที่เกิดขึ้นค่ะ

 

กลุ่มพลังงานเดือดทั่วถึง:

* ราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่ง 4.4% ไปอยู่ที่ $74.92 ส่วน Brent พุ่ง 4.9% สู่ $76.8

* ไม่ใช่แค่น้ำมัน แต่ราคา ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) ก็พุ่งขึ้น 3.1% เช่นกัน

* ที่สำคัญคือ ดัชนีความผันผวนของตลาดน้ำมันดิบพุ่งสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี บ่งชี้ว่าตลาดปั่นป่วนอย่างหนัก

 

ตลาดหุ้น "แดงเดือด" ลามทั่วโลก:

* สหรัฐฯ: ดัชนีหลักร่วงถ้วนหน้า S&P 500 ปิดที่ 5,983.15 จุด (-0.8%), Dow Jones (-0.7%), Nasdaq 100 (-1%) และหุ้นเล็ก Russell 2000 (-1.1%)

* เอเชีย: ตลาดล่วงหน้าส่งสัญญาณลบแต่เนิ่นๆ ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกงร่วง 0.7% และ ดัชนีนิเคอิของญี่ปุ่นร่วง 0.8%

* ยุโรป: DAX ของเยอรมนี (-1.1%) และ FTSE 100 ของอังกฤษ (-0.5%) ก็หนีไม่พ้นภาวะการเทขาย

 

เงินทุนไหลเข้า "หลุมหลบภัย" อย่างชัดเจน:

* พันธบัตร: ผลตอบแทน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ลดลง 6 basis points เหลือ 4.39% สะท้อนแรงซื้อที่หนาแน่น ส่วนในยุโรป ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนี (Bund) อายุ 10 ปี ก็ทรงตัวอยู่ที่ 2.54% แสดงถึงความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน

* ค่าเงิน: ดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าที่สุดในรอบเดือน กดดันให้สกุลเงินหลักอื่นๆ อ่อนค่าลง ไม่ว่าจะเป็น ยูโรที่ $1.1485 (-0.7%) หรือ ปอนด์สเตอลิงที่ $1.3426 (-1.1%)

* ทองคำ: ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นไปอยู่ที่ $3,393.54 ต่อออนซ์

 

ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตอกย้ำความเปราะบาง

ความกลัวของนักลงทุนไม่ได้มาจากสงครามอย่างเดียว แต่มาจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่อ่อนแอด้วย โดยตัวเลขล่าสุดที่ประกาศออกมาเริ่มมีสัญญาณเตือนค่ะ

 

ยอดค้าปลีก (Retail Sales): ลดลง 0.9% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นการลดลง 2 เดือนติดต่อกัน และเป็นการหดตัวที่แรงที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี

การผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production): ลดลง 0.2% ในเดือนพฤษภาคม สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

ตลาดคริปโตก็หนีไม่พ้นแรงเทขาย แม้จะมีข่าวดีเรื่องกฎหมาย Stablecoin แต่ในระยะสั้น ตลาดคริปโตก็ถูกมองเป็นสินทรัพย์เสี่ยงและถูกเทขายอย่างหนัก Bitcoin ร่วง 3.8% ไปอยู่ที่ $104,712.11 และ Ether ดิ่งลง 5.3% ไปอยู่ที่ $2,529

 

อีกหนึ่งสมรภูมิ…สงครามเทคโนโลยี สหรัฐฯ-จีน

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ข่าวเล็กๆ แต่เป็น "การเปลี่ยนทิศทาง" ครั้งสำคัญของไต้หวันเลยค่ะ การที่ไต้หวันตัดสินใจขึ้นบัญชีดำ Huawei และ SMIC ถือเป็นการเลือกข้างสหรัฐฯ อย่างชัดเจน และนี่คือเหตุผลว่าทำไมมันถึงสำคัญมากๆ ค่ะ

 

เปลี่ยนนโยบายที่ใช้มานาน: ที่ผ่านมาไต้หวันพยายามดำเนินนโยบายที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับจีนแผ่นดินใหญ่ แต่การกระทำครั้งนี้ถือเป็นการ "ฉีกนโยบายเดิม" และหันมาแข่งขันทางเทคโนโลยีกับจีนอย่างเต็มตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลทรัมป์กดดันไต้หวันมาตลอด

 

“สัญญาณ" สำคัญกว่าผลกระทบระยะสั้น: แม้นักวิเคราะห์บางคนจะมองว่าในทางปฏิบัติอาจยังไม่ส่งผลกระทบหนักทันที เพราะบริษัทไต้หวันหลายแห่งมีบริษัทย่อยที่จดทะเบียนในจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อทำธุรกิจที่นั่น แต่หัวใจของเรื่องนี้คือ "สัญญาณที่ประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ กำลังส่งออกไป" มันคือการประกาศจุดยืนว่าไต้หวันกำลังลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจจากจีนอย่างจริงจัง

 

แก้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้น: การคุมเข้มครั้งนี้มีที่มาที่ไปค่ะ เพราะก่อนหน้านี้มีรายงานว่า TSMC บริษัทผลิตชิปเบอร์หนึ่งของโลก เคยผลิตชิป AI ให้กับ Huawei โดยไม่รู้ตัวถึง 2.9 ล้านชิ้น ผ่านบริษัทตัวกลางที่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรในภายหลัง นอกจากนี้ยังมีข่าวว่าบริษัทไต้หวันหลายแห่งแอบช่วย Huawei สร้างโรงงานผลิตชิปในจีนอีกด้วย การขึ้นบัญชีดำครั้งนี้จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าไต้หวันเอาจริงเรื่องการควบคุมการรั่วไหลของเทคโนโลยีแล้ว

 

เป้าหมายระยะยาว: อาจเป็นการสกัดกั้นการส่งออกชิ้นส่วนสำคัญ วัสดุซิลิคอน และความเชี่ยวชาญในการสร้างโรงงาน ที่เคยทำให้ไต้หวันกลายเป็นมหาอำนาจด้านชิปของโลก ไม่ให้ตกไปถึงมือจีนได้ง่ายๆ อีกต่อไป

 

ข่าวดีสวนกระแส? วงการคริปโตเฮลั่น

ท่ามกลางข่าวร้ายและความตึงเครียด วุฒิสภาสหรัฐฯ กลับสร้างความประหลาดใจด้วยการผ่าน กฎหมายกำกับดูแล Stablecoin ด้วยคะแนนท่วมท้น 68-30 เสียง ซึ่งถือเป็นชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมคริปโตเลยค่ะ

กฎหมายนี้คืออะไร?: กฎหมายกำหนดให้ Stablecoin ที่ผูกกับเงินดอลลาร์ (เช่น USDT, USDC) จะต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกันในอัตราส่วน 1:1 เท่านั้น โดยต้องเป็น เงินสดหรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐหรือรัฐบาลกลาง ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานได้อย่างมหาศาล

 

ใครได้ ใครเสีย?

ผู้ที่ได้ประโยชน์: กลุ่มธุรกิจคริปโต (ได้ความน่าเชื่อถือ), ร้านค้าปลีก (หวังว่าในอนาคตจะใช้ทำธุรกรรมได้ถูกและเร็วกว่าบัตรเครดิต), ธนาคารขนาดใหญ่ (ที่อาจออก Stablecoin ของตัวเองเพื่อทำกำไรจากดอกเบี้ยของเงินสำรอง) และ รัฐบาลสหรัฐฯ (เพราะอาจช่วยเพิ่มความต้องการถือเงินดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทั่วโลก)

ผู้ที่กังวล: ธนาคารขนาดเล็ก (กลัวว่าคนจะแห่ถอนเงินฝากไปซื้อ Stablecoin) และ นักการเมืองบางกลุ่ม นำโดยวุฒิสมาชิก อลิซาเบธ วอร์เรน ที่มองว่ากฎหมายนี้ยัง ปกป้องผู้บริโภคไม่เพียงพอ และอาจสร้างความเสี่ยงที่รัฐบาลจะต้องเข้าไปอุ้ม (Bailout) หากบริษัทผู้ออก Stablecoin ล้มละลาย เธอยังวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนว่ากฎหมายนี้จะไป "เพิ่มมูลค่าการทุจริตของโดนัลด์ ทรัมป์" เนื่องจากมี Stablecoin ที่เกี่ยวข้องกับทรัมป์และมีมูลค่าตลาดกว่า 2 พันล้านดอลลาร์

ขั้นตอนต่อไป: ร่างกฎหมายนี้จะต้องถูกส่งต่อไปยัง สภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาว่าจะรับร่างนี้เลย หรือจะเจรจาเพื่อปรับแก้ต่อไป แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นี่คือก้าวที่สำคัญที่สุดที่จะผลักดันให้เงินดิจิทัลเข้าสู่โลกการเงินกระแสหลักอย่างเต็มตัว

 

สรุปและความเห็นส่วนตัว

ตอนนี้แอดมองว่าใกล้ถึงจุดพีคละ รอแค่ว่าทรัมป์จะเคาะแบบไหน อย่างที่บอกไปตลอดแหละว่า ให้นักลงทุนสนใจแค่ราคาน้ำมันก็พอค่ะ เพราะผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริงๆ จังๆ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อราคาน้ำมันสูงกว่า 90$ อย่างต่อเนื่องและยาวนานค่ะ ส่วนเรื่องยิงกันท่าไหน ใครแพ้ ใครชนะ ไม่ได้มีผลต่อตลาดหุ้นค่ะ เดี๋ยวก็ชินกันไปเอง

ส่วนคืนนี้ติดตามผลการประชุมเฟดอย่าใกล้ชิด เรื่องนี้มีความสำคัญกว่าสงครามอีกค่ะ ส่วนตัวคาดว่าอาจออกได้ 2 แบบคือ เฟดยังยืนยันลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ กับเปลี่ยนใจเป็นลดดอกเบี้ยแค่ 1 ครั้งในปีนี้ และต้องไปฟังอีกว่า พาวเวลล์ จะแถยังไงต่อ เพราะเงินเฟ้อลดลง และตลาดแรงงานชะลอตัวลงค่ะ

ถ้าตลาดย่อไม่เยอะ ก็ไม่ต้องทำอะไรแหละ เก็บเงินสดไว้ก่อนก็ได้ค่ะ ตามที่เคยบอกเลย เก็บไม้แรกเมื่อย่อ 5% และอีกไม้เมื่อย่อ 10% ค่ะ... ปกติสงครามตะวันออกกลางตลาดจะย่อเฉลี่ยไม่เกิน 5% นะคะ

 

 

ที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก..  Beauty Investor


illumitus