ลงทุนให้ดี ควรมีตัวเลือก
แทบทุกวินาทีของการมีชีวิต คนเราจะต้อง “เลือก” ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
ต้องเลือกว่าจะนั่งหรือนอน จะเดินไปทางซ้ายหรือขวา จะดื่มน้ำโดยเทใส่แก้วหรือกระดกทั้งขวด จะตักกับข้าวจานที่อยู่ใกล้หรือไกล จะนั่งแบบตั้งใจให้หลังตั้งตรงหรือปล่อยตัวตามสบาย จะอ่านหรือไม่อ่าน จะดูหรือไม่ดู จะพูดหรือไม่พูด ทั้งหลายทั้งปวงนี้คือเราต้องเลือก
ถ้าเลือกโดยไม่ตั้งใจ มักจะเกิดมาจากการเลือก “ตามใจ” หรือใช้อารมณ์ความรู้สึก ณ ขณะนั้นเป็นตัวนำ มากกว่าจะใช้เหตุผล แต่ถ้าเลือกแบบตั้งใจ ก็มักจะใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์
การ ลงทุน ที่ดี ที่มีประสิทธิภาพ ควรใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ดังนั้น จึงควรผ่านกระบวนการเลือกอย่าง “ตั้งใจ” ซึ่งเทคนิคหนึ่งในการเลือกอย่างตั้งใจคือการ “หาตัวเปรียบเทียบ”
หลักสำคัญของการ ลงทุน คือ “ผลตอบแทน” และ “ความเสี่ยง” ดังนั้น การหาตัวเปรียบเทียบก็จะดู 2 เรื่องนี้แหละครับ
เทคนิคในการหาตัวเปรียบเทียบก็คือ มีตัวตั้งอยู่ 3 ตัว หนึ่ง ตัวกิจการที่จะลงทุน สอง ผลตอบแทน และ สาม ความเสี่ยง
นักลงทุนต้องยึดตัวใดตัวหนึ่งเป็นตัวที่นิ่ง แล้วใช้อีก 2 ตัวเป็นตัวเปรียบเทียบ เช่น อยากลงทุน ปตท. เพราะเชื่อในความมั่นคงของกิจการ ก็ใช้ ปตท. เป็นตัวตั้ง แล้วไปดูว่าหลักทรัพย์ที่สามารถลงทุนกับ ปตท. ได้มีอะไรบ้าง เช่น หุ้นสามัญ หุ้นกู้ หรือใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) คราวนี้ก็มาเปรียบเทียบผลตอบแทนและความเสี่ยง โดยการเรียงลำดับความเสี่ยงเสียก่อน ซึ่งในหลักทรัพย์ 3 ประเภทนี้ หุ้นกู้มีความเสี่ยงต่ำสุด ตามมาด้วยหุ้นสามัญ และ DW
เมื่อเรียงลำดับความเสี่ยงแล้ว จึงมาดูว่าผลตอบแทนของตัวที่มีความเสี่ยงต่ำสุดนั้นเราพอใจหรือไม่ ถ้าไม่พอใจก็ขยับขึ้นมาในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น จนกระทั่งได้เงื่อนไขที่นักลงทุนพอใจและยอมรับได้ทั้ง 3 ส่วน คือเป็นบริษัทที่นัก ลงทุน เชื่อมั่น ด้วยผลตอบแทนที่พึงพอใจ และความเสี่ยงที่ยอมรับได้
กรณีที่สอง ยึด “ผลตอบแทน” เป็นหลัก แล้วใช้บริษัทหรือกิจการที่จะลงทุน และความเสี่ยง เป็นตัวผันแปร
ยกตัวอย่างเช่น ต้องการผลตอบแทน 5% ต่อปี ซึ่งมีตัวเลือกอยู่หลายตัว เช่น หุ้นสามัญที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลเกิน 5% ต่อปี หรือ หุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนเกิน 5% ต่อปี หรือ กองทุนรวมที่ให้ผลตอบแทนเกิน 5% ต่อปี จากนั้นก็เปรียบเทียบความเสี่ยงของแต่ละประเภท โดยจัดเรียงลำดับของความเสี่ยงให้ได้ เพื่อจะได้เลือกตัวที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด ซึ่งอยู่ในกลุ่มของผลตอบแทนที่เราพึงพอใจที่จัดไว้อยู่แล้ว
กรณีที่สาม ใช้ “ความเสี่ยง” เป็นตัวตั้ง และแปรผันด้วยตัวกิจการและผลตอบแทน
ในทางทฤษฎี ความเสี่ยงแบ่งเป็น 8 ระดับ จากระดับ 1 ที่เป็นความเสี่ยงต่ำสุด ไปจนถึงความเสี่ยงสูงสุดที่ระดับ 8 โดยนักลงทุนต้องไปดูหนังสือชี้ชวนเสนอขายหลักทรัพย์ หรือสอบถามผู้แนะนำการลงทุน ว่าหลักทรัพย์ประเภทใดที่อยู่ในระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้
เช่น ตราสารหนี้ประเภทหุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิต เรทติ้ง) ในเกรดลงทุน หรือ กองทุนรวมตราสารหนี้ มีความเสี่ยงอยู่ในระดับ 4 กองทุนรวมผสม (ตราสารหนี้กับตราสารทุน) มีความเสี่ยงในระดับ 5 กองทุนรวมตราสารทุน มีความเสี่ยงในระดับ 6 เป็นต้น
เมื่อเลือกได้แล้วว่าสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับใด ก็ไปดูผลตอบแทนในระดับที่นักลงทุนพึงพอใจ เพราะแม้จะมีความเสี่ยงในระดับเดียวกัน แต่ผลตอบแทนก็แตกต่างกัน โดยดูประกอบกับกิจการหรือบริษัทที่ออกหลักทรัพย์นั้น หรือหากเป็นกองทุนรวมก็ต้องดูพอร์ตการลงทุนของกองทุนนั้นๆ ประกอบด้วย
เทคนิคข้างต้นนี้น่าจะช่วยกระตุ้นให้ผู้ลงทุนได้ทำการบ้านมากขึ้น และสนุกกับการลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกก็คือ นักลงทุนต้องมีความรู้ความเข้าใจที่เพียงพอในการลงทุนหลักทรัพย์ที่เลือก มิเช่นนั้น หลักคิดนี้จะช่วยอะไรไม่ได้เลย
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก