ห้องเม่าปีกเหล็ก

ลงทุนให้ดี ควรมีตัวเลือก

โดย dave
เผยแพร่ :
66 views

ลงทุนให้ดี ควรมีตัวเลือก

แทบทุกวินาทีของการมีชีวิต คนเราจะต้อง “เลือก” ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

ต้องเลือกว่าจะนั่งหรือนอน จะเดินไปทางซ้ายหรือขวา จะดื่มน้ำโดยเทใส่แก้วหรือกระดกทั้งขวด จะตักกับข้าวจานที่อยู่ใกล้หรือไกล จะนั่งแบบตั้งใจให้หลังตั้งตรงหรือปล่อยตัวตามสบาย จะอ่านหรือไม่อ่าน จะดูหรือไม่ดู จะพูดหรือไม่พูด ทั้งหลายทั้งปวงนี้คือเราต้องเลือก

ถ้าเลือกโดยไม่ตั้งใจ มักจะเกิดมาจากการเลือก “ตามใจ” หรือใช้อารมณ์ความรู้สึก  ขณะนั้นเป็นตัวนำ มากกว่าจะใช้เหตุผล แต่ถ้าเลือกแบบตั้งใจ ก็มักจะใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์

การ ลงทุน ที่ดี ที่มีประสิทธิภาพ ควรใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ดังนั้น จึงควรผ่านกระบวนการเลือกอย่าง “ตั้งใจ” ซึ่งเทคนิคหนึ่งในการเลือกอย่างตั้งใจคือการ หาตัวเปรียบเทียบ

หลักสำคัญของการ ลงทุน คือ “ผลตอบแทน” และ “ความเสี่ยง” ดังนั้น การหาตัวเปรียบเทียบก็จะดู 2 เรื่องนี้แหละครับ

เทคนิคในการหาตัวเปรียบเทียบก็คือ มีตัวตั้งอยู่ 3 ตัว หนึ่ง ตัวกิจการที่จะลงทุน สอง ผลตอบแทน และ สาม ความเสี่ยง

นักลงทุนต้องยึดตัวใดตัวหนึ่งเป็นตัวที่นิ่ง แล้วใช้อีก 2 ตัวเป็นตัวเปรียบเทียบ เช่น อยากลงทุน ปตทเพราะเชื่อในความมั่นคงของกิจการ ก็ใช้ ปตทเป็นตัวตั้ง แล้วไปดูว่าหลักทรัพย์ที่สามารถลงทุนกับ ปตทได้มีอะไรบ้าง เช่น หุ้นสามัญ หุ้นกู้  หรือใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) คราวนี้ก็มาเปรียบเทียบผลตอบแทนและความเสี่ยง โดยการเรียงลำดับความเสี่ยงเสียก่อน ซึ่งในหลักทรัพย์ 3 ประเภทนี้ หุ้นกู้มีความเสี่ยงต่ำสุด ตามมาด้วยหุ้นสามัญ และ DW

เมื่อเรียงลำดับความเสี่ยงแล้ว จึงมาดูว่าผลตอบแทนของตัวที่มีความเสี่ยงต่ำสุดนั้นเราพอใจหรือไม่ ถ้าไม่พอใจก็ขยับขึ้นมาในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น จนกระทั่งได้เงื่อนไขที่นักลงทุนพอใจและยอมรับได้ทั้ง 3 ส่วน คือเป็นบริษัทที่นัก ลงทุน เชื่อมั่น ด้วยผลตอบแทนที่พึงพอใจ และความเสี่ยงที่ยอมรับได้

กรณีที่สอง ยึด “ผลตอบแทน” เป็นหลัก แล้วใช้บริษัทหรือกิจการที่จะลงทุน และความเสี่ยง เป็นตัวผันแปร

ยกตัวอย่างเช่น ต้องการผลตอบแทน 5% ต่อปี ซึ่งมีตัวเลือกอยู่หลายตัว เช่น หุ้นสามัญที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลเกิน 5% ต่อปี หรือ หุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนเกิน 5% ต่อปี หรือ กองทุนรวมที่ให้ผลตอบแทนเกิน 5% ต่อปี จากนั้นก็เปรียบเทียบความเสี่ยงของแต่ละประเภท โดยจัดเรียงลำดับของความเสี่ยงให้ได้ เพื่อจะได้เลือกตัวที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด ซึ่งอยู่ในกลุ่มของผลตอบแทนที่เราพึงพอใจที่จัดไว้อยู่แล้ว

กรณีที่สาม ใช้ “ความเสี่ยง” เป็นตัวตั้ง และแปรผันด้วยตัวกิจการและผลตอบแทน

ในทางทฤษฎี ความเสี่ยงแบ่งเป็น 8 ระดับ จากระดับ 1 ที่เป็นความเสี่ยงต่ำสุด ไปจนถึงความเสี่ยงสูงสุดที่ระดับ 8  โดยนักลงทุนต้องไปดูหนังสือชี้ชวนเสนอขายหลักทรัพย์ หรือสอบถามผู้แนะนำการลงทุน ว่าหลักทรัพย์ประเภทใดที่อยู่ในระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้

เช่น ตราสารหนี้ประเภทหุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิต เรทติ้งในเกรดลงทุน หรือ กองทุนรวมตราสารหนี้ มีความเสี่ยงอยู่ในระดับ 4 กองทุนรวมผสม (ตราสารหนี้กับตราสารทุนมีความเสี่ยงในระดับ 5 กองทุนรวมตราสารทุน มีความเสี่ยงในระดับ 6 เป็นต้น 

เมื่อเลือกได้แล้วว่าสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับใด ก็ไปดูผลตอบแทนในระดับที่นักลงทุนพึงพอใจ เพราะแม้จะมีความเสี่ยงในระดับเดียวกัน แต่ผลตอบแทนก็แตกต่างกัน โดยดูประกอบกับกิจการหรือบริษัทที่ออกหลักทรัพย์นั้น หรือหากเป็นกองทุนรวมก็ต้องดูพอร์ตการลงทุนของกองทุนนั้นๆ ประกอบด้วย

เทคนิคข้างต้นนี้น่าจะช่วยกระตุ้นให้ผู้ลงทุนได้ทำการบ้านมากขึ้น และสนุกกับการลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกก็คือ นักลงทุนต้องมีความรู้ความเข้าใจที่เพียงพอในการลงทุนหลักทรัพย์ที่เลือก มิเช่นนั้น หลักคิดนี้จะช่วยอะไรไม่ได้เลย

 

 ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


dave