ห้องเม่าปีกเหล็ก

พลิกฟื้น Stressed Bonds: เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส

โดย INVESTING
เผยแพร่ :
77 views

พลิกฟื้น Stressed Bonds: เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส

By ภาสินี ฤกษ์พิบูลย์ / ภูมิจิต ศรีอุดมขจร : สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)

 

“การบินไทย” สายการบินแห่งชาติ ในช่วงที่ผ่านมาต้องเผชิญกับมรสุมทางธุรกิจจากปัจจัยด้านการบริหาร และวิกฤติโควิด-19 ส่งผลให้ในปี 2563 ขาดทุนกว่า 1.41 แสนล้านบาท

 

 

การบินไทย สูญเสียความสามารถในการชำระหนี้ จนถึงกับมีการกล่าวกันว่า เส้นทางธุรกิจของสายการบินไม่ได้ราบรื่นดั่งสโลแกน “Smooth as Silk”

หุ้นกู้การบินไทยจึงกลายเป็น ตราสารหนี้ที่อยู่ระหว่างผิดนัดชำระหนี้ ด้วยยอดคงค้างสูงถึง 71,608 ล้านบาท และถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างของ “ตราสารหนี้ที่มีปัญหาในการชำระหนี้คืน (Stressed Bonds)” 

แต่กระนั้นในปี 2564 การบินไทยประสบความสำเร็จในการปรับโครงสร้างหนี้ และสามารถพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับมามีกำไรอีกครั้ง กรณีดังกล่าวจึงเป็นตัวอย่างที่สะท้อนถึงความเป็นไปได้ในการฟื้นตัวของ Stressed Bonds

ด้วยเหตุนี้ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอาจพิจารณาเพิ่มโอกาสให้แก่ “ผู้ออกตราสาร” (Issuer) ที่ดี และมีศักยภาพแต่กำลังประสบปัญหา

รวมทั้งเพิ่มช่องทางการออกตราสารให้แก่นักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องอย่างเร่งด่วน ผ่านการส่งต่อ Stressed Bonds ไปยังผู้ที่พร้อมรับซื้อ และมีความเชี่ยวชาญในการนำตราสารหนี้ฯ เหล่านั้นไปบริหารต่อ

แต่ทว่าในปัจจุบัน แม้ตลาดทุนไทยจะมีกลไกเพิ่มโอกาสให้แก่ Stressed Bonds อยู่ 2 แนวทาง แต่ยังมีความท้าทายทั้งในด้านหลักการและทางปฏิบัติ

แนวทางแรก สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ผลักดันข้อเสนอแก้ไข พ.ร.ก.บริษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) พ.ศ. 2541 ให้ “สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ” ที่ บบส. สามารถรับซื้อจากสถาบันทางการเงินได้นั้น ครอบคลุมถึง Stressed Bonds ด้วย

อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผู้ทำหน้าที่กำกับดูแล บบส. กลับมองว่าการกระทำดังกล่าวอาจลดทอนความสามารถของ บบส. ในการเพิ่มสภาพคล่องให้แก่สถาบันทางการเงิน และอาจนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลในวงกว้างเช่นเดียวกับ วิกฤติการณ์ต้มยำกุ้ง

ประกอบกับข้อมูลจาก ThaiBMA ที่ชี้ให้เห็นว่า ในปี 2566 มูลค่าคงค้างของ Stressed Bonds คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.9 ของตราสารหนี้ภาคเอกชนทั้งหมด จึงยังไม่มีความจำเป็นมากพอที่จะขยายขอบเขตให้ บบส. สามารถเข้าซื้อ Stressed Bonds ได้

ในขณะเดียวกัน สำนักงาน ก.ล.ต. ก็ได้นำเสนอ หลักเกณฑ์รองรับการจัดตั้ง Stressed Bond Fund (SBF) เพื่ออนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สามารถจัดตั้งกองทุนรวมที่เน้นลงทุนใน Stressed Bonds และเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษได้

แม้ว่าในเชิงหลักการ SBF น่าจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจแก่ บลจ. และเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือครอง Stressed Bonds แต่ บลจ. หลายแห่งกลับมองว่า หลักเกณฑ์การจัดตั้ง SBF ไม่เอื้อต่อการบริหารกองทุน

โดยเฉพาะ ข้อกำหนดด้านระยะเวลากองทุน อัตราส่วนการลงทุนใน Stressed Bonds ที่ต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิโดยเฉลี่ยรอบปีบัญชี และการไม่ได้รับสิทธิบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่เทียบเคียงกับ บบส. 

อีกทั้ง บลจ. ยังมองว่า Stressed Bonds นั้น ไม่ใช่สินทรัพย์ในความเชี่ยวชาญของตน รวมถึงยังมีความกังวลในความเสี่ยงด้านชื่อเสียงจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงอีกด้วย

แม้จะมีข้อเสนอให้สำนักงาน ก.ล.ต. พิจารณาปรับลดอัตราส่วนการลงทุนใน Stressed Bonds เพื่อเพิ่มความสามารถในการบริหาร และความน่าดึงดูดในการจัดตั้ง SBF ให้แก่ บลจ. แต่ บลจ. ก็ยังไม่ใช่องค์กรที่เหมาะสมที่สุดในการเข้าซื้อ Stressed Bonds ด้วยเหตุผลด้านความเชี่ยวชาญ

ประกอบกับการเพิ่มองค์กรเข้าไปรับซื้อ Stressed Bonds นั้น ก็ไม่ใช่หนทางลดการเกิด Stressed Bonds รวมทั้งไม่สามารถปกป้องนักลงทุนซึ่งขาดความรู้และความเชี่ยวชาญ และยังไม่สามารถป้องกัน Stressed Bonds ซึ่งเกิดจากผู้ออกตราสารที่มีเจตนาทุจริตผิดนัดชำระหนี้ได้อีกด้วย

จากช่องโหว่ดังกล่าว ประกอบกับการศึกษาตลาดทุนต่างประเทศ ทีมวิจัยกิโยตินกฎระเบียบตลาดทุน ทีดีอาร์ไอ จึงมีข้อเสนอเพิ่มเติมสำหรับการแก้ปัญหา Stressed Bonds ดังนี้

ในแง่ ความเหมาะสมขององค์กรที่จะมารับซื้อ Stressed Bonds นั้นพบว่า หนึ่งในผู้เล่นที่มีความสามารถแท้จริงและมักเข้าซื้อ Stressed Bonds ในต่างประเทศ คือ Hedge Fund 

Hedge Fund กองทุนซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวดน้อยกว่ากองทุนรวมทั่วไป ทำให้ไม่โดนจำกัดความสามารถในการบริหารการลงทุน และสามารถดำรงบทบาทเป็น “ผู้เล่นขาลง” (Downside Player) ที่ช่วยเติมความสมบูรณ์ให้แก่ตลาดได้

อย่างไรก็ตาม การพิจารณาเพิ่ม Hedge Fund เข้ามาในตลาดทุนไทย ควรได้รับการศึกษาเพิ่มเติม เนื่องจากการเลือกเป้าหมายสำหรับลงทุนนั้นขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของ Hedge Fund แต่ละแห่ง ทำให้ไม่สามารถรับรองได้ว่า Hedge Fund จะสนใจซื้อ Stressed Bonds ทั้งหมดที่คงค้างอยู่ในตลาด

ขณะที่ปัญหาอื่นๆ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ โดยการเพิ่มกลไกรับซื้อ Stressed Bonds นั้น การพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สามารถช่วยบรรเทาปัญหาเหล่านั้นได้

ตัวอย่างเช่น การพัฒนาตลาดตราสารหนี้เสี่ยงสูง ซึ่งเป็นจุดกำเนิดหลักของจำนวน Stressed Bonds โดยมุ่งเน้นไปที่ การจัดทำตัวชี้วัดสำหรับรายงานอัตราการผิดนัดชำระหนี้ของตราสารหนี้เสี่ยงสูง เพื่อเฝ้าระวังการผันตัวเป็น Stressed Bonds และการปรับปรุงคุณสมบัติของผู้มีสิทธิลงทุนในตราสารหนี้เสี่ยงสูงให้เข้มงวดมากขึ้น เพื่อปกป้องนักลงทุนที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ

ที่สำคัญคือ การส่งเสริมความโปร่งใสในการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ เช่น การยกระดับการกำกับการรักษาความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร  และการเพิ่มความรวดเร็วในการลงโทษผู้ออกตราสารที่ทุจริต

ซึ่งนอกจากเป็นการมุ่งจัดการผู้ออกตราสารที่จงใจทุจริตแล้ว ยังช่วยยกระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อตลาดตราสารหนี้โดยรวมอีกทางหนึ่ง

ด้วยข้อกังวลของแนวทางการแก้ปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบัน มาจากความไม่เหมาะสมขององค์กรที่ถูกวางให้เข้าไปรับซื้อ Stressed Bonds และการมองข้ามปัญหาที่เกี่ยวข้องในอีกหลายมิติ

การสร้างความร่วมมือกันของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาเพิ่มกลไกที่เหมาะสมสำหรับจัดการและช่วยเหลือ Stressed Bonds ที่มีศักยภาพในการฟื้นตัว ควบคู่ไปกับการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ เพื่อปกป้องนักลงทุน เฝ้าระวังการเกิด Stressed Bonds และป้องกันการทุจริตของผู้ออกตราสาร จึงถือเป็นเรื่องจำเป็นในการยกระดับแนวทางการแก้ปัญหา Stressed Bonds ให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น

บทวิเคราะห์นี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดบทความ “โครงการกิโยตินกฎระเบียบตลาดทุน” โดยทีดีอาร์ไอและกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF)

 

เนื้อหาข่าวจาก https://www.bangkokbiznews.com/blogs/finance/investment/1174189

 


INVESTING