เจาะครึ่งปีหลัง หุ้นรับอานิสงส์บวก
หากรัสเซียฟื้นข้อตกลงส่งออกธัญพืช
.
ช่วงที่ผ่านมาราคาธัญพืช โดยเฉพาะข้าวโพดและข้าวสาลีในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการบางส่วน แต่ล่าสุดแนวโน้มสถานการณ์ราคาธัญพืชอาจปรับตัวลดลง หลังประธานาธิบดีรัสเซียได้เจรจากับประธานาธิบดีตุรกี เพื่อรื้อฟื้นข้อตกลงส่งออกธัญพืชจากยูเครนผ่านเส้นทางทะเลดำ
.
โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ราคา Soft Commodity ในตลาดโลก หลักๆ คือ ข้าวสาลี และข้าวโพด ปรับตัวลดลง 2% และ 1.1% ตามลำดับ หลังมีข่าวว่าประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้เจรจากับประธานาธิบดีเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน ผู้นำตุรกี เพื่อรื้อฟื้นข้อตกลงส่งออกธัญพืชจากยูเครนผ่านเส้นทางทะเลดำ จากก่อนหน้านี้ที่รัสเซียถอนตัวออกจากข้อตกลง ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินว่าจะทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อโลกผ่อนคลายลง และเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มที่มีต้นทุน Soft Commodity หลักๆ ได้แก่ RBF, SNNP, CPF, GFPT
.
จากประเด็นดังกล่าว หากการรื้อฟื้นข้อตกลงส่งออกธัญพืชจากยูเครนผ่านเส้นทางทะเลดำประสบผลสำเร็จ หุ้นที่จำเป็นต้องใช้ธัญพืชเป็นวัตถุดิบหลักในการเลี้ยงสัตว์และผลิตสินค้าน่าจะได้รับผลบวกอย่างแน่นอน วันนี้ Wealthy Thai จึงมีแนวโน้มการดำเนินงานของหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลบวกทั้ง 4 ตัวมาฝาก
.
เริ่มต้นที่ RBF บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ฝ่ายวิจัยยังคงมุมมองกำไรไตรมาส 3/66 จะเติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า โดย RBF ยังคงรักษา GPM ที่แข็งแกร่งจากการล็อคราคาแป้งสาลีไว้จนถึงสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยมีความกังวลการบริโภคภายในประเทศจะอ่อนตัวมากขึ้น ดังนั้นจึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ลง 11% มาอยู่ที่ 658 ล้านบาท โต 36.5% จากปีก่อน
.
โดยปัจจัยหลักมาจาก 1.การปรับลดรายได้จากยอดขายลง 11% เนื่องจากคาดยอดขายภายในประเทศชะลอตัว และ 2. ปรับลด GPM ลง 10bps เนื่องจากการประหยัดต่อขนาดและผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่อาจส่งผลต่อราคาแป้งสาลีในปีหน้า ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ ซื้อ หุ้น RBF จากแนวโน้มกำไรเชิงบวกในครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ ขยับไปใช้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 และปรับลดราคาเป้าหมายลงอยู่ที่ 12.80 บาท จากเดิมที่ 13.50 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับลดประมาณการกำไรและPER ลง
.
ถัดมา SNNP บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/66 ที่ 170 –180 ล้านบาท รายได้ในประเทศอาจทรงตัวแต่ Product mix เปลี่ยนเป็น Snack มากกว่า Jele ทำให้ GPM สูงขึ้น ขณะที่เวียดนามบริษัทจะเปิดสายการผลิตสินค้ากลุ่มเบนโตะ ซึ่งจะหนุนทั้งรายได้และ GPM ในเวียดนาม ทำให้กำไรสุทธิทำระดับสูงสุดใหม่ได้
.
ขณะที่ไตรมาส 4/66 เป็นช่วงไฮซีซันของทุกกลุ่มสินค้าและทุกประเทศ ซึ่งเวียดนามจะเริ่มเปิดสายการผลิต Jele ทำให้รายได้และกำไรมีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่ นอกจากนี้เวียดนามยังประกาศลดภาษีมูลค่าเพิ่มลง 2% เหลือ 8% (เริ่ม 1 ก.ค.) คาดจะเป็นบวกต่อการบริโภคสินค้าอุปโภคบริโภค หนุนอัพไซด์ต่อประมาณการของฝ่ายวิจัย เบื้องต้นคาด SNNP มีกำไรปี 2566 ที่ 688 ล้านบาท โต 33.4% จากปีก่อน ให้คำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 27.25 บาท
.
สำหรับ CPF บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดไตรมาส 3/66 จะมีกำไรปกติราว 3,000-3,800 ล้านบาท ลดลง 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนแต่ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า โดยราคาหมูไทย-จีนยังลดลงกว่า 20% ขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น 10% และดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ทำให้กำไรปกติลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/65 ส่วนการฟื้นตัวจากไตรมาส 2/66 มาจากราคาหมูเวียดนามฟื้นตัว อานิสงส์ไข้หวัดนกบราซิลทำให้ญี่ปุ่นนำเข้าไก่จากไทยมากขึ้น และต้นทุนอาหารสัตว์ได้แก่ข้าวโพดและถั่วเหลืองลด ทำให้กำไรปกติพื้น ด้านส่วนแบ่งจาก CPALL น่าจะดีขึ้นตามฤดูกาลและเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ขณะที่ Hylife น่าจะฟื้นตัวเพราะส่งออกได้มากขึ้นและต้นทุนถั่วเหลืองลดลง
.
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการปี 2566 ลงจากเดิม 40% เพราะยอดขายและกำไรยังต่ำกว่าคาดในไตรมาส 2-3/66 จึงคาดกำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 6,646 ล้านบาท ลดลง 52% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงลบว่าราคาหมูจีนอาจฟื้นตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 และราคาหมูไทยอาจฟื้นตัวในไตรมาส 4/66 ดังนั้นแนะนำในระยะ 3 เดือน หลีกเลี่ยงการลงทุนใน CPF เปลี่ยนเป็น GFPT ราคาเป้าหมาย 14 บาท แต่หากรอได้เกิน 6 เดือน แนะนำสะสม CPF ราคาเป้าหมาย 23 บาท
.
ส่วน GFPT บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด ระบุว่า แม้ประเมินกําไรปี 2566 อยู่ที่ 1,449 ล้านบาท หดตัว 29% จากปีก่อน แต่คาดว่าครึ่งแรกของปีจะเป็นจุดตํ่าสุดของปี 2566 โดยครึ่งปีหลังคาดราคาวัตถุดิบจะทยอยลดลงจากผลผลิตในอเมริกาใต้ที่เริ่มเพิ่มขึ้น
.
อีกทั้งศักยภาพการผลิตไก่ของไทยมีความได้เปรียบในตลาดส่งออกหากไข้หวัดนกในบราซิลยืดเยื้อ และเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการในกลุ่มเนื้อสัตว์ ฝ่ายวิจัยมองว่า GFPT มีความปลอดภัยจากการโฟกัสเพียงธุรกิจไก่ซึ่งราคาขายยังดี และไม่มีผลกระทบจากความผันผวนของราคาหมูเช่นผู้ประกอบการรายอื่น ดังนั้นสำหรับนักลงทุนระยะ 12-18 เดือน เริ่มทยอยสะสมหุ้น GFPT ได้ ให้ราคาเป้าหมาย 15 บาท
