5 หุ้นอสังหาฯ Q1/63 กำไรโตแรง SPALI รับปี 63 มีแต่ความท้าทาย
หุ้นอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยกดดันมาอย่างต่อเนื่อง ถ้าเราจำได้ในช่วงก่อนหน้านี้ก็มีประเด็น ทั้งมาตรการควบคุมสินเชื่อหรือ LTV สภาวะหนี้ครัวที่สูง ความเข้มงวดของธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือแม้กระทั่งสงครามการค้า ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมานั้นถือเป็นตัวกดดันหุ้นกลุ่มดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา
และล่าสุดคงหนีไม่พ้น COVID-19 ที่กดดันหุ้นทั้งตลาด แม้กระทั่งหุ้นกลุ่มนี้ เพราะถือเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างมาก และส่งผลต่อยอดขายอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวลดลง ดังนั้น Wealthy Thai จึงได้รวบรวมผลประกอบการหุ้นอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มที่อยู่อาศัยที่รายงานงวดไตรมาส 1/2563 โดยพบว่ามี 5 หลักทรัพย์ที่กำไรสุทธิเติบโตสวนกลุ่ม ซึ่งมีรายละเอียดในตารางดังนี้
BROCK อัตราการเติบโตสูงสุดของกลุ่ม
นางสาวจันทมาส หาญคิมหันต์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดบริษัท บ้านร็อคการ์เด้น จำกัด (มหาชน) หรือ BROCK เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 3.94 ล้นบาท เพิ่มขึ้น 62.19% เนื่องจากมีการวางแผนในการขายรับรู้รายได้ และผลตอบรับจากลูกมากขึ้นตามลำดับ โดยมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์จำนวน 41.56 ล้นบาท เพิ่มขึ้น 25.09% จากงาดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง
SENA เติบโตเป็นอันดับ 2
นางวีรพร ไชยสิริยะสวัสดิ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและเลขานุการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 230.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 159.76 ล้านบาท โดยบริษัทมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุน จำนวน 34.80 ล้านบาท คิดเป็น 3.60% ของรายได้รวม จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 35.30 ล้านบาท ซึ่งบริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการพัฒนาโครงการ นิช โมโน สุขุมวิท แบริ่ง และในช่วงไตรมาส 2/2563 จะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์โครงการ นิช ไพรด์ เตาปูน ซึ่งในช่วงไตรมาส 1/2563 บริษัทมีรายได้รวม 975.90 ล้านบาท ลดลง 12.10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,110.70 ล้านบาท เป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19
ต่อมาอันดับ 3 บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD มีกำไรสุทธิ 198.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 151.14 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 1,824 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.47% จากการโอนกรรมสิทธิ์ในโครงการเมทริส พระราม 9-รามคำแหง ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 1/2563 และมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมจำนวน 63.44 ล้านบาท ลดลง 28.03% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้อัตราการเข้าพักลดลง
ส่วนอันดับ 4 บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL มีกำไรสุทธิ 113.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 97.05 ล้านบาท เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายหลัก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 72.58% ของรายได้รวม ได้แก่ ต้นทุนการขายอสังหาริมทรัพย์ ค่าใช้จ่ายในการขาย และค่าใช้จ่ายในการบริหาร ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
และอันดับ 5 บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S มีกำไรสุทธิ 298.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.93% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 268.98 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก บริษัทมีการรับรู้รายได้อื่นจากการบันทึกกำไรการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยของ SHR จำนวน 423 ล้านบาท และกำไรจากมูลค่ายุติธรรมของอนุพันธ์แฝงจากหุ้นกู้แปลงสภาพ จำนวน 115 ล้านบาท
SPALI รับปี 63 ท้าทาย COVID-19 กดดัน
ด้านนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI ได้ให้มุมมองต่อภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 ว่า ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ถูกท้าทายจากการระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งมีผลกดดันต่อการเปิดโครงการใหม่และกำลังซื้อเป็นอย่างมาก
โดยโครงการคอนโดมิเนียมในตลาดหดตัวลงมากกว่า 50% ในขณะที่โครงการแนวราบหดตัวลงประมาณ 20-30% ซึ่งสาเหตุหลักที่ลูกค้าชะลอการซื้อที่พักอาศัยนั้น อาจเพราะต้องการรอดูสถานการณ์และรอให้เศรษฐกิจพ้นจุดต่ำสุดไปเสียก่อน
แต่อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าจากสถานการณ์ที่เริ่มคลี่คลายลงได้ จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่ต้องการที่พักอาศัยมากขึ้นโดยเฉพาะโครงการแนวราบ เนื่องจากสินค้าอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มหรือ นิช มาร์เก็ต (Niche Market)
สำหรับการรับมือของบริษัท ได้เตรียมพิจารณาปรับเป้าหมายธุรกิจใหม่อีกครั้ง จากเดิมที่คาดยอดขายไว้ที่ 26,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 24,000 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยสถานการณ์ระบาดของไวรัส COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา มีผลกระทบต่อยอดจองและยอดเข้าชมโครงการเป็นอย่างมาก ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ COVID-19 คลี่คลายลง บริษัทจะพิจารณาปรับเป้าอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ที่ 30 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบจำนวน 25 โครงการตามเดิม โดยในช่วง Q2/63 จะเปิดตัว 1 โครงการคือ ศุภาลัย พาร์ควิลล์ รังสิต คลอง 4 มูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 5 โครงการ เป็นคอนโดมิเนียม โดยในช่วงไตรมาส 1/2563 บริษัทได้เปิดตัวไปแล้ว 1 โครงการ แต่ในช่วงไตรมาส 2/2563 ยังไม่มีแผนการเปิดตัว ซึ่งโครงการที่เหลือจะประเมินแผนใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ปัจจุบันมียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) รวมมูลค่า 39,000 ล้านบาท คาดจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงที่เหลือของปี 2563 ราว 9,500 ล้านบาท
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก