วงการค้าหุ้นยังมีกระแสร้อน ๆ ให้จับตาอยู่ตลอด รวมถึงข่าวร้อนที่พูดกันหนาหูในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กรณีโบรกฯใหญ่อย่างบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กำลังจะเพลี่ยงพล้ำเสียแม่ทัพใหญ่ไปให้คู่แข่ง ในภาวะที่อุตสาหกรรมนี้มีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น จนเกิดข้อสังเกตว่า ฤๅ ครั้งนี้จะเกิดปรากฏการณ์ "ลมเปลี่ยนทิศ" ! ในแวดวงธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์)
"เมย์แบงก์ฯ" เสือเหลืองอ่อนแรง
การแข่งขันที่รุนแรงต่อเนื่องในธุรกิจโบรกฯ โดยเฉพาะจากการลดค่าธรรมเนียม (คอมมิสชั่น) ของกลุ่มโบรกเกอร์ที่เน้นซื้อขายหุ้นแบบค่าธรรมเนียมต่ำ (Discount Broker) ส่งผลให้โบรกเกอร์ใหญ่อย่าง บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) อันดับ 1 ของอุตสาหกรรมต้องรับศึกหนัก
เมื่อดูจากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ชี้ให้เห็นว่า มาร์เก็ตแชร์ของ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จากปี 2554 ค่าเฉลี่ย 11.74% ร่วงลงมาเป็น 11.70%, 11.39%, 10.38% และ 8.48% ในปี 2555 - 2558 ตามลำดับ และล่าสุดปีนี้ (ต้นปี-26 ก.ย. 2559) มาร์เก็ตแชร์ยังได้ปรับตัวลดลงเหลือเฉลี่ยเพียง 7.93%
พร้อมกับกระแสข่าวที่เล็ดลอดออกมาว่า บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ได้ให้ "บุญพร บริบูรณ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม และ "โฆษิต บุญเรืองขาว" กรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจหลักทรัพย์ หยุดปฏิบัติงานทันที !
ประเด็นนี้ แหล่งข่าวในวงการตลาดทุนรายหนึ่งวิเคราะห์ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากปัญหาภายในเรื่องการบริหาร เพราะที่ผ่านมา ผู้ที่อาจมีอำนาจสั่งการด้านการบริหารนั่งอยู่ไกลในต่างประเทศ จึงอาจมีความใกล้ชิดกับตลาดทุนไทยไม่มากนัก และการตัดสินใจในบางประเด็นก็อาจจะล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น จึงส่งผลให้การประสานงานด้านการบริหารไม่ราบรื่นเท่าที่ควร
ขณะที่แหล่งข่าวอีกรายยืนยันว่า กระแสข่าวนี้เป็นความจริง เพราะห้องทำงานของ "บุญพร" และ "โฆษิต" ถูกปิดล็อกแล้ว และคาดว่าทั้ง 2 คนน่าจะเข้าไปทำงานที่โบรกฯน้องใหม่ คือ บล.หยวนต้า ซีเคียวริตีส์ เอเชีย ไฟแนนซ์ เซอร์วิส ธุรกิจในกลุ่มบริษัท หยวนต้า ไฟแนนเชียล โฮลดิ้ง จำกัด โบรกเกอร์เบอร์ 1 จากไต้หวัน ซึ่งเข้าซื้อหุ้น 99.99% ใน บล.เคเคเทรด จากธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ตั้งแต่กลางปี 2559 ที่ผ่านมา
CIMB จับลูกค้ากลุ่มสถาบัน
จังหวะระส่ำระสายใน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ตอนนี้ทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า กำลังเปิดโอกาสให้ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ที่มีมาร์เก็ตแชร์เบอร์ 2 ในตลาดก้าวขึ้นมาแทนที่แชมป์ได้หรือไม่
"สุชาย สุทัศน์ธรรมกุล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ที่ผ่านมามาร์เก็ตแชร์ของบริษัทเพิ่มขึ้นตลอด และคาดว่าทั้งปีจะอยู่ที่เฉลี่ยราว 6.30% จากปีก่อนอยู่ที่ 6.00% (ดูตาราง) เพราะปีนี้นักลงทุนสถาบันโดยรวมได้เข้ามาซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้น จนทำให้สัดส่วนของนักลงทุนสถาบันขยับขึ้นมาใกล้ 40% จากปีก่อนอยู่ที่ 30% และนักลงทุนกลุ่มนี้ก็ต้องการบริการด้านบทวิเคราะห์ ยอมจ่ายค่าธรรมเนียมในระดับที่เหมาะสม และไม่เน้นต่อรองลดราคาค่าธรรมเนียมจากปริมาณการซื้อขาย
"ปัจจุบันค่าธรรมเนียมของเราใกล้เคียงอุตสาหกรรมคือเฉลี่ยราว0.13%แต่ธุรกิจโบรกฯก็มีต้นทุนการบริหารจัดการที่เพิ่มขึ้นขณะที่การแข่งขันต่าง ๆ ทำให้ค่าคอมฯ ลดลง ก็มีผลต่อกำไร (มาร์จิ้น) ปีนี้" สุชายกล่าว
ส่วนความคาดหวังที่ว่า บล.ซีไอเอ็มบีจะก้าวสู่อันดับ 1 แทน บล.เมย์แบงก์ฯได้หรือไม่ ยังไม่สามารถตอบได้ในขณะนี้ แต่ในอนาคต โบรกฯแห่งนี้มีเป้าหมายรุกตลาดนักลงทุนสถาบันต่างประเทศต่อเนื่อง
วอน ก.ล.ต.คุมดิสเคานต์โบรก
อีกด้านหนึ่งของปรากฏการณ์ "ลมเปลี่ยนทิศธุรกิจโบรกฯ" สะท้อนจากแหล่งข่าวผู้บริหารระดับสูงวงการโบรกเกอร์อีกรายที่เล่าว่า ธุรกิจโบรกฯปัจจุบันต้องปรับตัวอย่างหนักจากการต่อสู้กับดิสเคานต์โบรกเกอร์ ซึ่งบางบริษัทไม่ทำบทวิเคราะห์เอง แต่ส่งบทวิเคราะห์ของบริษัทอื่นไปให้ลูกค้าของตัวเองเร็วสุด ๆ ทั้งที่ต้นทุนค่าจ้างนักวิเคราะห์สูงมาก ดังนั้นจึงอยากให้ ก.ล.ต.ทบทวนเรื่องการกำกับดูแลดิสเคานต์โบรกฯให้มากขึ้น
เมื่อปมการแข่งขันกับ "ดิสเคานต์โบรกเกอร์" ยังไม่จางหาย และความระส่ำระสายในโบรกฯใหญ่ยังไม่คลี่คลาย ธุรกิจโบรกฯจึงยังต้องเผชิญทิศทางลมที่ปรวนแปรและอาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม...รับมือกันให้ดี !