ห้องเม่าปีกเหล็ก

ทุนสํารอง.วูบ

โดย Durant
เผยแพร่ :
63 views

เงินออก-ขาดดุล ทุนสํารองพ.ค.วูบ ครึ่งเดือนแสนล้าน

 

กูรู ประเมินทุนนอกไหลออก-ขาดดุลการค้า-แบงก์ชาติแทรกแซงค่าบาท ฉุดทุนสำรองครึ่งเดือนพ.ค.วูบ 1.2 แสนล้าน “ทีเอ็มบี” ชี้ยังไม่น่าห่วง แม้เงินต่างชาติไหลออกตลาดหุ้น-พันธบัตร เชื่อสถานะแข็งแกร่งเทียบเพื่อนบ้าน

ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2562 อยู่ที่ 2.09 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับวันที่ 3 พฤษภาคม 2562 อยู่ที่ 2.11 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นการลดลงของทุนสำรองรายสัปดาห์ที่มากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2561 ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศในรูปเงินบาท เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2562 อยู่ที่ 66.394 แสนล้านบาท เทียบกับวันที่ 3 พฤษภาคม 2562 อยู่ที่ 67.607 แสนล้านบาท ลดลง 1.21 แสนล้านบาท

นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหาร TMB Analytics บมจ.ธนาคารทหารไทย หรือ ทีเอ็มบี วิเคราะห์ว่า หากดูจากตัวเลขเงินทุนสำรองระหว่างประเทศตั้งแต่ต้นปี จะเห็นว่ามีการปรับลดลงในช่วงเดือนพฤษภาคม เล็กน้อย โดยปัจจัยการลดลงของเงินทุน สำรองระหว่างประเทศมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ เงินไหลออกสุทธิ ซึ่งต่างชาติขายสุทธิ ทำให้มีเงินไหลออกทั้งจากตลาดหุ้นและพันธบัตร โดยตั้งแต่เดือนมกราคม-24 พฤษภาคมต่างชาติขายหุ้นอยู่ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท และขายพันธบัตรอยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากการส่งออกหดตัวและภาคการท่องเที่ยวที่ชะลอตัว ทำให้รายรับหดตัว ส่งผลให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศปรับลดลง โดยมูลค่าการส่งออกเดือนเมษายนอยู่ที่ 18,555.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นการเติบโตติดลบ 2.57% มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 20,012.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นการเติบโตติดลบ 0.72% และดุลการค้า (Trade Balance) ติดลบอยู่ที่ 1,457.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

“เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ปรับลดลง ไม่ได้มาจากธปท. เข้าไปดูแลหรือแทรกแซงแต่อย่างใด เพราะหากดูทิศทางค่าเงิน จะพบว่า เงินบาทแข็งค่าที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันแข็งค่าที่ระดับ 2.4% จึงไม่น่าจะมาจากปัจจัยการดูแลค่าเงิน เพราะหากต้องการให้เงินบาทแข็งจะต้องทำให้ตัวเลขเงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลง ซึ่งปัจจุบันไม่ต้องทำอะไรเงินบาทก็แข็งค่าอยู่แล้ว”

อย่างไรตามแม้ว่าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจะปรับลดลง แต่ถือว่าสถานะเงินทุนสำรองของไทยยังแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยหากดูสัดส่วนทุนสำรองต่อการนำเข้าของไทยสามารถนำเข้าได้ถึง 11.6 เดือน ขณะที่อินโดนีเซียนำเข้าได้ 7.8 เดือน มาเลเซีย 5.8 เดือน ฟิลิปปินส์ 8.2 เดือน เกาหลี 8.8 เดือน และสิงคโปร์ 9.9 เดือน

“หากดูตัวเลขเงินทุนสำรองฯ เพิ่งจะลดลงในเดือนพฤษภาคม และปรับลดลงไม่เยอะมาก แต่สะท้อนภาพที่แย่ลงจากเดือนเมษายน และมาจากหลายๆ เรื่องรวมกัน ส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมของเงินไหลเข้าและไหลออก หากเงินไหลเข้า ต่างชาติเข้ามาลงทุนเป็น FDI จะเห็นเงินสำรองเพิ่มขึ้น แต่หากไทย ออกไปลงทุนและต่างชาติไหลออก เงินทุนสำรองจะลดลง ซึ่งภาพตอนนี้ต่างชาติเขาขายพันธบัตร ดุลการค้าหาย ท่องเที่ยวชะลอ ทำ ให้เงินสำรองลดลง ไม่ได้มาจากภาพธปท.เข้าไปดูแลแต่อย่างใด”

แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ระบุว่าการปรับลดลงของทุนสำรองระหว่างประเทศนั้น หากพิจารณาก่อนปี 2543 พบว่าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่(EM)ส่วนใหญ่ใช้เงินทุนสำรองแก้ปัญหาความผันผวนของค่าเงิน ส่งผลให้ทุนสำรองปรับเพิ่มขึ้นสูง แต่ระยะหลังเริ่มเห็นการทยอยขายเพื่อลดทุนสำรอง ส่วนการปรับลดลงของเงินทุนสำรองของไทย นอกจากปัจจัยความผันผวนค่าเงินทั้งสกุลเงินในเอเชียและดอลลาร์แล้ว ยังมีปัจจัยตลาดหุ้นมีส่วนด้วย เช่น ถ้าตลาดหุ้นสหรัฐฯขึ้นลงเร็วมักจะส่งผลกระทบต่อเงินบาทให้อ่อนค่าตาม หรือกรณีที่ส่งออกแย่ ราคานํ้ามันแพง ก็มีโอกาสที่เงินบาทจะอ่อนค่า ซึ่งหากค่าเงินอ่อนค่าเร็วเกินไปธปท.ก็ต้องเข้าไปดูแล

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็น Signal ที่กังวลว่าตลาดเงินผัน ผวนสูง เราไม่น่ากังวลเรื่องเสถียรภาพ ของเงินทุนสำรองฯ แต่คนทำธุรกิจต้องป้องกันความเสี่ยงให้รัดกุม เพราะแนวโน้มตลาด จะผันผวนสูง ถ้าธปท.ไม่เข้าไปดูแลค่าความผันผวนจะมากกว่านี้”

ขณะที่แนวโน้มระยะสั้นเงินบาทยังอ่อนค่าตามสภาวะเศรษฐกิจ การค้าโลกและสกุลเงินภูมิภาคเอเชีย แต่พื้นฐานเงินบาทต้องแข็งค่ามากกว่านี้ โดยจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2556 เงินบาทแข็งค่าสุดที่ระดับ 29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯโดยมีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท จากนั้นทุนสำรองฯทยอยปรับเพิ่มต่อเนื่องจนปี 2560 ทุนสำรองฯจะอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวที่ระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนธปท.ยอมปล่อย ให้เงินบาทแข็งค่า โดยไม่ค่อยเข้าดูแล จึงมองว่าไทยมีโอกาสปรับลดเงินทุนสำรองลงได้ เหลือประมาณ 1.2 แสนล้านบาทน่าเพียง พอที่จะเป็น “กันชน” ให้กับภาคธุรกิจ และระบบเศรษฐกิจของไทย จากปัจจัยภายนอก โดยไม่จำเป็นต้องสูงหลัก 2 แสนล้านบาท 

สำหรับแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้าย หากประเมินสถานการณ์ สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนไม่น่าจะมีข้อสรุปในไตรมาส 3 ของปีนี้ ดังนั้นโอกาสที่ตลาดจะปิดรับความเสี่ยงอีกและตลาดน่าจะปรับฐานเชื่อว่าจะ เห็นเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงดังกล่าวอย่างน้อย 7หมื่นล้าน-1 แสนล้านบาท 

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


Durant