ห้องเม่าปีกเหล็ก

อ่านเกมหุ้น : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โดย SiTh LoRd PaCk
เผยแพร่ :
72 views

 

การเป็นนักลงทุนนั้น  ทักษะหรือวิชาอย่างหนึ่งที่ต้องฝึกฝนหรือใช้ประสบการณ์หรือบางทีก็เป็นสิ่งที่ “ได้มาเอง” จากการที่ได้คลุกคลีกับหุ้นและตลาดหุ้นมายาวนานก็คือสิ่งที่ผมอยากจะเรียกว่า  “เกมหุ้น”

เกมหุ้นนั้นก็คือสิ่งที่นักลงทุนใช้ในการที่จะเล่นหุ้นหรือลงทุนในหุ้นแต่ละตัวเพื่อที่จะได้เปรียบและ/หรือได้ “ชัยชนะ” นั่นก็คือ  ทำกำไรได้งดงามจากการซื้อขายหุ้นในตลาดโดยเฉพาะในระยะสั้น   ในระยะยาวแล้ว  การ “เล่นเกม”  ก็จะน้อยลงไปเรื่อย ๆ  และผลกำไรขาดทุนจากการลงทุนก็อาจจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการมากขึ้นเรื่อย ๆ   และสำหรับคนที่ “ถือหุ้นตลอดชีวิต”  เกมก็จะไม่มีความหมาย  แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยมาก   เพราะแม้แต่ วอเร็น บัฟเฟตต์ เอง  เขาก็ยังขายหุ้นอยู่เนือง ๆ  ดังนั้น   การรู้จักว่าเกมหุ้นนั้นเขาเล่นกันอย่างไรจึงน่าจะมีประโยชน์ไม่น้อย  เพราะนั่นจะทำให้เราเป็นผู้เล่นที่  “ชนะ”  ในกรณีที่เราเข้าไปเล่น  หรือเราก็จะ “ไม่แพ้”  เพราะว่าเรา  “ไม่เล่น” กับมัน

ถ้าเข้าไปดูในเวบบอร์ดสาธารณะเกี่ยวกับหุ้น  สิ่งที่เราจะได้พบเห็นทุกวันทำการก็คือ  “เกิดอะไรขึ้นกับหุ้น A ทำไมขึ้นแรง?”  หรือ  “ทำไมลงหนักอย่างนั้น?”  บ่อยครั้งก็จะมีคนหรือ  “ผู้รู้”  มาอธิบายหรือคอมเม้นท์ว่ามันเป็นเพราะอะไร  เช่น  กำไรเพิ่มขึ้นมาก  ขาดทุนหนัก  หรือบริษัทชนะหรือแพ้ประมูลงาน  เป็นต้น  แต่บ่อยครั้งมากอีกเช่นกันที่จะมีคนเขียนว่าเป็นเพราะ  “จ้าว”  หรือนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาซื้อหรือขาย   แน่นอนว่าสิ่งที่พูดกันนั้นก็จะจริงบ้างไม่จริงบ้าง  ว่าที่จริงก็ไม่มีใครรู้ว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้มันขึ้นไปจริง ๆ  นอกจากการที่มี  “คนซื้อมากกว่าคนขาย”  หรือ “คนขายมากกว่าคนซื้อ”  ซึ่งก็เป็นคำพูดที่ไม่มีความหมายอะไรในการที่จะนำไปใช้ในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่จะทำให้  “ชนะ” ในอนาคตต่อไป

เวลาที่ผมพบว่าหุ้นตัวไหนปรับตัวขึ้นหรือตกลงมาแรงในช่วงเร็ว ๆ  นี้จนเป็นที่สังเกตนั้น  ผมมักจะพยายามคิดหรือตั้งคำถามว่ามันเป็นเพราะอะไรที่ทำให้คนแห่กันเข้ามาซื้อหรือขายซึ่งทำให้ราคาขึ้นหรือลงมาแรง   โดยสิ่งที่ผมอยากจะรู้ก่อนก็มักจะอยู่ในข้อมูลเช่น  ราคาที่ปรับตัวขึ้นหรือลดลง  ปริมาณการซื้อขายที่มักจะมากขึ้นมาก  ผลประกอบการของบริษัทย้อนหลัง  อุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่บริษัททำอยู่หรือมีแผนที่จะทำ  และที่สำคัญที่สุดก็คือ  สตอรี่หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้   อีกสิ่งหนึ่งที่ผมจะดูไม่น้อยไปกว่าเรื่องอื่นก็คือ  ใครคือ  “เจ้าของบริษัท” และผู้ถือหุ้นที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่โดยเฉพาะที่เพิ่งเข้ามาถือหุ้นในเร็ว ๆ  นี้  และสุดท้ายของสุดท้ายก็คือ  ค่าความถูกความแพงของหุ้นที่คิดจากค่า  PE PB ปันผลตอบแทน และ  Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นของทั้งบริษัทรวมถึงหนี้ที่มีอยู่และดู Free Float หรือปริมาณหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดหุ้น   หลังจากนั้น  ผมก็จะพยายาม  “อ่านเกม”  ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับบริษัทหรือหุ้นตัวนั้นในสายตาของนักเล่นหุ้นที่เข้ามา “เล่นเกมหุ้น” กันอยู่ในขณะนั้น

บ่อยครั้งผมพบว่าหุ้นขึ้นแรงมากแต่ดูไปแล้วจาก “ข้อมูลพื้นฐาน”  ที่เกี่ยวกับผลประกอบการและฐานะการเงินรวมถึงความเข้มแข็งทางธุรกิจที่เกิดจากความได้เปรียบทางการแข่งขันทางการตลาดนั้นก็ไม่ได้แตกต่างกับรายอื่น  ราคาและ Market Cap. ก็บอกว่าเป็นหุ้นที่มีราคาแพง  สิ่งที่เป็นข่าวหรือสตอรี่ก็คือการที่บริษัทซึ่งทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่กำลังน่าจะมีโอกาสได้งานจากภาครัฐมากขึ้นเนื่องจากมีการประกาศว่าจะเริ่มประมูลกันจริงจังหลังจากชะลอโครงการมานาน  ในกรณีแบบนี้ผมก็จะ  “อ่าน” หรือวิเคราะห์ว่า  หุ้นขึ้นเพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดคิดว่าบริษัทจะมีโอกาสได้งานสูง  และการได้งานจะทำให้มีงานในมือมากขึ้น  มีรายได้มากขึ้น  และจะทำกำไรได้มากขึ้น  และจะทำให้มีปันผลมากขึ้นในอนาคต  และจะทำให้คนเข้ามาซื้อหุ้น  และจะทำให้หุ้นขึ้น  และดังนั้นเขาจึงรีบเข้าซื้อหุ้นตอนนี้ก่อนที่มันจะขึ้น  และดังนั้นหุ้นจึงขึ้นตั้งแต่ตอนนี้

นั่นคือความคิดหรือการเล่นเกมของนักลงทุนส่วนใหญ่  สิ่งที่ผมจะคิดก็คือ  สิ่งต่าง ๆ  เหล่านั้นจะเป็นความจริงไหม?  เป็นไปได้ว่าโครงการอาจจะไม่เกิดแม้ว่าจะมีโอกาสน้อย   เพราะผมคิดว่ารัฐบาลจะพยายามทำสิ่งนี้  นั่นคือเร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน  ดังนั้น  ผมเชื่อตามนักลงทุนส่วนใหญ่แต่คิดว่าอาจจะเพิ่มขึ้นไม่เท่ากับสิ่งที่ตลาดคิด  เพราะเม็ดเงินที่รัฐจะใช้นั้นดูเหมือนว่าจะเน้นที่งบประมาณประจำปีและไม่กู้มาก  ประเด็นต่อมาก็คือ  บริษัทจะได้กำไรมากขึ้น  เรื่องนี้ผมคิดว่ามีโอกาสแต่ก็อาจจะไม่จริงก็ได้  เหตุผลก็เพราะธุรกิจรับเหมาโดยเฉพาะที่เป็นสาธารณูปโภคนั้นดูเหมือนว่ารายได้กับกำไรไม่ใคร่จะแน่นอน  บ่อยครั้งเช่นในอดีตนั้น  บริษัทมีรายได้มากแต่กำไรกลับไม่มา  บางทีก็ขาดทุน  ดังนั้น  ความไม่แน่นอนสูง  และนี่ก็เป็นสิ่งที่ผมมองต่างจากคนในตลาด   แต่สมมุติว่ามีกำไรดีขึ้น  คำถามต่อมาก็ยังเป็นปัญหานั่นก็คือ  กำไรที่จะได้มานั้นเพียงพอที่จะทำให้ค่า PE ลดลงมาจนคุ้มค่าน่าลงทุนหรือไม่?  และถ้าคำตอบของผมก็คือค่า PE ก็ยังสูงเกินไป  ก็ไม่มีเหตุผลที่จะลงทุนในหุ้นตัวนั้น    นอกจากนั้น  ถ้าค่า PE จะลดลงมาต่ำพอในวันหนึ่ง  ปัญหาก็คือบริษัทจะรักษารายได้และกำไรนั้นไว้ได้ไหม  หากคำตอบก็คือ  ไม่ได้!  เนื่องจากหลังจากนั้นประเทศคงไม่มีโครงการเมกาโปรเจคต่อแล้ว  ราคาหุ้นก็จะไม่สามารถยืนอยู่ได้  ดังนั้น  ข้อสรุปของผมก็คือ  ผมเห็นต่างกับตลาดและคิดว่าราคาที่ขึ้นไปนั้นไม่น่าจะยืนอยู่ได้ในระยะยาวและดังนั้นผมก็จะไม่เล่นเกมนี้

ในกรณีของหุ้นขนาดเล็กและ/หรือมี Free Float ต่ำแม้ว่าจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่  สิ่งหนึ่งที่ผมจะต้องระมัดระวังมากก็คือ  หุ้นอาจจะโดนนักลงทุนรายใหญ่เข้ามา  “เล่นเกม”   ไม่ว่าจะเป็นการตั้งใจ  “ปั่นหุ้น”  หรือเชื่ออย่างบริสุทธิใจในความเห็นหรือการวิเคราะห์ของตนเองว่าหุ้นตัวนั้นกำลังจะมีสตอรี่และ/หรือมีผลประกอบการที่ดี  อยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ร้อนแรงและเติบโตเร็ว และบริษัทมีความได้เปรียบ  รวมทั้งผลงานเมื่อเร็ว ๆ  นี้ก็ได้ชี้ไปในทิศทางนั้น  ดังนั้น  เขาจึงเข้าไปซื้อหุ้นอย่างหนักส่งผลให้แรงซื้อมากกว่าแรงขายมหาศาลเพราะหุ้นมีปริมาณน้อย    ผลก็คือ  ราคาหุ้นวิ่งขึ้นแรงมากอย่างต่อเนื่อง  อาจจะเนื่องจากมีนักลงทุนคนอื่นตื่นเต้นและเข้ามาร่วมซื้อด้วยอย่างมาก   ทำให้ค่า PE สูงเกิน 50 เท่าและมูลค่าตลาดของหุ้นขึ้นไปแบบมโหฬารเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่อยู่มานานในอุตสาหกรรมเดียวกัน  ในกรณีแบบนี้  นอกจากจะต้องวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ  ตามมาตรฐานแล้ว  ผมก็มักจะนำ  “ประวัติศาสตร์”  หรือแม้แต่  “ปรัชญา” เข้ามาใช้ประกอบด้วย  เช่น  เคยมีบริษัทแบบนี้ในโลกไหมที่มีขนาด Market Cap. ใหญ่มากโดยธุรกิจที่ทำไม่ได้เป็นธุรกิจขนาดใหญ่มากและเป็นกิจการที่ขายสินค้าที่ไม่จำเป็นและไม่ได้มีอำนาจทางการตลาดที่จะปกป้องสินค้าจากคู่แข่ง  เป็นต้น  ถ้าไม่มี  ผมก็จะไม่เข้าไปเล่นเกมนี้

โดยทั่วไปถ้าผมมีความคิดแบบเดียวกับตลาด  ผมก็มักจะไม่เข้าไปเล่นในเกมเพราะผมคิดว่าถ้าคนอื่นก็รู้เท่า ๆ  กับที่ผมเข้าใจ  โอกาสที่จะได้กำไรจากหุ้นก็จะน้อย  ผมสนใจหุ้นที่ผมเห็นต่างกับตลาดโดยเฉพาะที่ความเห็นต่างนั้นจะก่อให้เกิดโอกาสในการซื้อหุ้นที่ถูกกว่าพื้นฐาน  แต่นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยาก  ส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่พบมักจะเป็นหุ้นที่ผมเห็นต่างกับตลาดแต่เป็นหุ้นที่มีราคาแพงกว่าความเป็นจริงซึ่งผมก็จะไม่เข้าไปเล่นเกมนั้น   หลาย ๆ  ครั้งผมเองเห็นด้วยกับความเชื่อของนักลงทุนในตลาดในเรื่องต่าง ๆ  แทบทั้งหมดว่าหุ้นตัวนั้นเป็นกิจการที่ดีเยี่ยม   แต่พบว่าราคาหุ้นนั้นสูงเกินกว่าที่จะคุ้มค่าหรือไม่มี Margin of Safety ที่ทำให้ผมไม่สามารถผิดพลาดได้เลย  ดังนั้น  ผมก็จะไม่เข้าไปเล่น  ผมไม่เล่นชอร์ตเซล  ด้วยเหตุดังกล่าว  ผมจึงเล่นเกมหุ้นน้อยมากแม้ว่าจะเป็นคนที่  “ดูเกมหุ้น”  มากมายตลอดเวลา

การใช้ชีวิตอยู่กับหุ้นและตลาดหุ้นนั้น  ผมต้องเจอกับ “เกมหุ้น” แทบจะทุกเมื่อเชื่อวันแม้ว่าผมเองจะเข้าไปเล่นหรือเกี่ยวข้องน้อยมาก   แต่  “กรณีศึกษา” ของผมนั้นต้องถือว่ามีมาก  เรียกว่า  “เห็นจนเบื่อ”  ส่วนใหญ่หลังจากเวลาผ่านไปก็มักจะพบว่าความคิดเห็นของนักลงทุนในตลาด “ครั้งนั้น”  ก็  ไม่จริง!  แต่คนลืมไปแล้ว   “เกมใหม่”  ที่กำลังเล่นก็ “เหมือนเดิม”  มันคงจะคล้าย ๆ  กับคำพูด “อมตะ” ของ เบน เกรแฮม ที่ว่า  “It’s the same old tyres” หรือมันก็  “เรื่องเดิม ๆ  แบบละครน้ำเน่า” ที่คนดูไม่รู้จักเบื่อเท่านั้นเอง


SiTh LoRd PaCk