ห้องเม่าปีกเหล็ก

กางแผนคลังสู้ ภาษีทรัมป์

โดย OVERMoney
เผยแพร่ :
64 views

ลวรณ กางแผนคลังสู้ ภาษีทรัมป์ ชี้เพดานหนี้ต้องยืดหยุ่นรับวิกฤต

  • สงครามการค้าเพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจไทย หลังสหรัฐฯประกาศเก็บภาษีศุลกากร 36% กระทบการค้าโลกและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเสี่ยงชะลอตัว กระทรวงการคลังคาดจีดีพีปีนี้โตต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ 3%
  • รัฐบาลเตรียมใช้เครื่องมือทางการคลัง เช่น งบกลาง วงเงินสำรอง และการกู้เงินเพิ่มเติม พร้อมเดินหน้า "ดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3" แจกเงินกลุ่ม 16-20 ปี วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท
  • ปลัดกระทรวงการคลัง มองว่าไทยไม่ใช่คู่ขัดแย้งตรงกับสหรัฐฯ หวังเห็นไทย-สหรัฐฯเจรจาบนฐานของการเป็นคู่ค้าที่สร้างประโยชน์ร่วมกัน
  • พร้อมหนุนการเร่งปรับโครงสร้างภาคเกษตรไทย เน้นลงทุนแหล่งน้ำ ไม่ท่วมไม่แล้ง ดันเกษตรสมัยใหม่ และเพิ่มศักยภาพส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูป

 

 

สถานการณ์สงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นในยุคทรัมป์ 2.0 ล่าสุดสหรัฐประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) ซึ่งไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ในภาพใหญ่ขณะนี้รัฐบาลพยายามทำใน 2 เรื่อง คือ การวางแผนการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ขณะเดียวกันเตรียมความพร้อมวงเงินและมาตรการในการรับมือความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดวิกฤติ

“กรุงเทพธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว โดยเฉพาะการ เตรียมความพร้อมมาตรการทางการคลังเพื่อรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจที่จะมีความท้าทายมากขึ้น

นายลวรณ กล่าวว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะกระทบกับเศรษฐกิจอย่างแน่นอน แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถประเมินได้อย่างแม่นยำว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นรุนแรงมากแค่ไหน แต่ผลที่จะเกิดขึ้นคือกระทบกับการค้าโลก โดยผลของการที่เศรษฐกิจโลกไม่โตหรือโตต่ำ ต้องมาดูว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นกับใครอย่างไร

ขณะนี้กระทรวงการคลังประเมินเป็นสมมติฐานว่าศรษฐกิจไทยจะขยายตัวลดลงไปจากการคาดการณ์เดิมเท่าไหร่ เช่น อาจลดลง 0.5% 1.5% หรือ 2.0% จากสมมุติฐานเดิมที่ต้องการให้จีดีพีขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3% เพราะตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงมีปัจจัยภาษีการค้าของสหรัฐเข้ามาเป็นปัจจัยที่เป็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

“การคาดว่าเศรษฐกิจจะโตได้ 3% หรือ 3% กว่าๆที่เราอยากไปในปีนี้คงไม่มีทาง ดังนั้นโจทย์คือจะลดลงจากเป้าเดิมเท่าไหร่ ก็ต้องให้ลดให้น้อยที่สุด เพราะตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยน เราก็ต้องยอมรับความจริง และเตรียมความพร้อมเพื่อให้เศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวได้มากที่สุด ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป” นายลวรณ กล่าว

สำหรับแผนการดูแลเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงที่เหลือของปีนี้ ปลัดกระทรวงการคลังกล่าวว่ารัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดของโครงการ โดยจะประเมินจากผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากสงครามการค้า ในการจะดูแลเศรษฐกิจจากนี้ไปต้องให้ความสำคัญกับการประคับประคองเศรษฐกิจ

 ส่วนวงเงินที่จะใช้จะเป็นเท่าไหร่ นั้นขึ้นอยู่กับว่าเรากําลังจะรับมือวิกฤตที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยเครื่องมืออะไร และเน้นในเรื่องอะไร เช่น การบริโภค การลงทุน หรือด้วยการทำโครงสร้างพื้นฐาน หรือปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

เดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ตแจกเงินเฟส 3

ทั้งนี้กรณีที่รัฐบาลต้องการใช้เงินงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อรองรับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้น รัฐบาลมีทางเลือกหลายทางในการจัดหาวงเงินมาใช้

ในการรองรับวิกฤติเพราะกฎหมายงบประมาณ และ พ.ร.บ.บริหารหนี้สาธารณะ มีความยืดหยุ่นและมีทางเลือก ได้แก่

1.งบประมาณปกติของปีนี้ที่ยังใช้ไม่หมดในบางรายการก็อาจจะโยกเกลี่ยงบประมาณในบางรายการ

2.งบกลางที่รัฐบาลเคยมีการเตรียมความพร้อมที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.7-1.8 แสนล้านบาท ซึ่งเหลือวงเงิน 1.5 แสนล้านบาท จะปรับรูปแบบงบประมาณได้ โดยขึ้นกับการตัดสินใจของรัฐบาล 

ทั้งนี้ โครงการดิจิทัลวอลเล็ตแจกเงิน 10,000 บาท (เฟส 3) กลุ่ม 16-20 ปี เตรียมวงเงินไว้ 3 หมื่นล้านบาท จะเดินหน้าส่วนนี้ เพราะระบบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลวอลเล็ตนั้นทำเสร็จแล้ว ก็สามารถที่จะเดินหน้าในส่วนนี้ตามนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ซึ่งโครงการนี้โจทย์เปลี่ยนไปจากเดิมที่จะสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจ แต่เป็นความจำเป็นในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้กับประเทศ

3.งบกลางรายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วน ก็ยังเป็นงบประมาณอีกส่วนหนึ่งที่สามารถขออนุมัติจาก ครม.ได้

4.การกู้เงินหรือก่อหนี้เพิ่มเติม 

ชี้กู้เงินเพิ่มแผนใช้เงินต้องชัดเจน

รวมทั้งกรณีที่หลายหลายคนกังวลว่ารัฐบาลจะกู้เงินเพิ่ม แล้วจะทําอย่างไรกับเพดานหนี้สาธารณะ นายลวรณ อธิบายว่า ในส่วนของข้อกังวลว่าการกู้เงินเพิ่มจะส่งผลต่อฐานะการคลังประเทศ ในเรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจว่าการกู้เงินไม่ใช่เรื่องน่ากังวล สิ่งสําคัญคือต้องดูว่ากู้แล้วไปทำอะไร และจะใช้คืนเงินคู่กันได้อย่างไร อันนี้คือสิ่งที่สําคัญ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาธุรกิจหลายหลายอย่างในประเทศนี้โตด้วยสินเชื่อด้วยเงินกู้ แม้ว่าอาจจะมีเงินสดเยอะมาก โดยการกู้เงินไปลงทุนแล้วทำให้ธุรกิจโตได้ก็ถือว่าเป็นผลดี รัฐบาลก็เหมือนกันจุดสําคัญคือต้องรู้ว่าถ้าไปกู้เงินมาแล้วต้องการใช้ในโครงการอะไรแล้วก่อให้เกิดความคุ้มค่าผลประโยชน์ในอนาคต และก็มีรายได้กลับมาคืนเงินกู้ได้ 

สำหรับระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือเสมอไป ปัจจุบันมีหลายประเทศเพดานหนี้สาธารณะสูง แต่ว่าเขาไม่ได้ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือเพราะว่ามีการลงทุนและเศรษฐกิจโตได้ สามารถชำระหนี้ได้

“สมมุตินะครับถ้าจําเป็นต้องมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้น สิ่งที่ต้องตอบสังคมและสภาฯได้ก็คือ รัฐบาลจะนําเงินกู้ไปใช้คืออะไร ต้องมีแผนที่ชัดเจน 1 2 3 4 แล้วไม่ใช่แค่เอาไว้ใช้อะไร แต่ต้องมีแผนด้วยว่าจะกลับมาดูแลหนี้ที่มันสูงขึ้น ยอดที่มันสูงขึ้นได้อย่างไร”นายลวรณกล่าว

ส่วนการขยายเพดานหนี้สาธารณะเกิน 70% นั้นก็ทำได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เพราะการบริหารบางสถานการณ์ต้องมีความยืดหยุ่น หากจำเป็นต้องขยายเพื่อรองรับวิกฤติก็ขยายได้ เหมือนช่วงโควิด-19 ที่เรามีการขยายเพดานหนี้สาธารณะจากไม่เกิน 60% เป็นไม่เกิน 70% เพื่อรองรับสถานการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้น 

ชี้ออก พ.ร.ก.เงินกู้ทำได้

สำหรับวงเงินที่พูดกันอยู่คือการกู้เงินเพิ่ม 5 แสนล้านบาท คือ หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นแค่ 3% เพราะฉะนั้นแค่ 3% หนี้สาธารณะก็ยังไม่ได้ทะลุ 70% แต่หากกู้เงินเพิ่มแม้ว่าหนี้สาธารณะยังไม่เกิน 70% แต่ต้องมีคำอธิบายให้ประชาชนและอธิบายให้รัฐสภาเข้าใจความจำเป็น 

ส่วนจะออกเป็น พ.ร.บ.หรือ พ.ร.ก.นั้นมองว่าทำได้ทั้ง 2 รูปแบบ ขึ้นกับรัฐบาลจะเลือกรูปแบบใด โดยการออก พ.ร.ก.กู้เงินช่วงโควิด 2 ฉบับก็ออกแล้วไปรายงานให้สภาฯรับทราบ

“การออก พ.ร.ก.กู้เงินอยู่ที่คําอธิบายครับ ถ้าวันนี้ทุกคนมองเห็นว่าภัยคุกคามของสงครามการค้าเป็นวิกฤติที่จะเกิดขึ้น แล้วเราจําเป็นต้องมีกลไกในการรับมือเพื่อไม่ให้ผลกระทบรุนแรง เชื่อว่าในทางกฎหมายสามารถทำได้ ส่วนการขยายเพดานหนี้นั้นไม่กระทบกับเครดิตเรตติ้งของประเทศ เพราะว่าหากมีการขยายแล้วเรายังมีความสามารถชำระหนี้ได้ จะไม่ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือในส่วนนี้”

มองไทยคุยสหรัฐได้ในฐานะคู่ค้า

นายลวรณ กล่าวถึงการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐว่า ไทยไม่ใช่คู่ขัดแย้งโดยตรงกับสหรัฐ โดยไทยเป็นประเทศเล็กแน่นอนว่ามหาอํานาจมีปัญหากันประเทศเล็กต้องได้รับผลกระทบ จะมากจะน้อยขึ้นกับการเตรียมการรับมือ โดยการขาดดุลทางการค้านั้นเก็บมาเป็นหัวข้อในการเจรจาได้ แต่ผมเชื่อว่าแต่ละประเทศมีวิธีในการรับมือที่แตกต่างกันไป

ส่วนไทยได้มีทีมที่จะไปเจรจาและเตรียมความพร้อมเป็นทีมไทยแลนด์ โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะ และการเตรียมความพร้อมนั้นมองว่าเราทำมามาก มีการระดมความเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องแล้วก็พร้อมที่จะเจรจา ถ้าโจทย์ในการเจรจาอย่างเราก็พร้อมที่จะเจรจา

“เราเตรียมความพร้อมมาเยอะครับ แต่ถ้าโจทย์ไม่นิ่ง ไม่มีประโยชน์ในการไปเจรจาเลยครับ เพราะว่าตอนนี้ในแต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน ไม่รู้จะเอาคําตอบอะไรยังไง แต่เมื่อไรก็ตามที่โจทย์นิ่งแล้วชัดแล้วว่าความต้องการที่แท้จริงของทางอเมริกาคืออะไร ผมคิดว่าเราพร้อมครับขอให้โจทย์ชัดๆในกระเป๋าของทีมเจรจาจะมีสิ่งที่เรานำไปพูดคุยกับอเมริกาได้”

มองปรับโครงสร้างเกษตรสร้างโอกาส

ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่าวิกฤติแต่ละครั้งนั้นถือว่ามีโอกาสโจทย์ในครั้งนี้ทำให้เราต้องกลับมาดูความพร้อมของภาคเกษตร ซึ่งเป็นภาคที่ใช้งบประมาณรดูแลมีมาตรการในการช่วยเหลือมานาน 

สำหรับโอกาสในครั้งนี้ไทยต้องปรับโครงสร้างภาคเกษตร ซึ่งเป็นนโยบายที่ตรงกับสหรัฐที่ดูแลภาคเกษตร โดยจะเพิ่มความร่วมมือกันได้ใ และไทยจะเป็นฐานการผลิตสินค้าเกษตรแปรรูป โดยเราทำภาคเกษตรให้ทันสมัยมากขึ้นเพราะถ้าไทยต้องขับเคลื่อนด้วยภาคการเกษตรเป็นหลักก็ใช้โอกาสนี้ในการปรับโครงสร้าง ดังนั้นไทยต้องการหารือกับสหรัฐในลักษณะคู่ค้าที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายมากกว่า

หนุนลงทุนแหล่งน้ำไม่ท่วม-ไม่แล้ง

สำหรับแผนงานที่มีการเตรียมไว้รองรับคือ การปรับโครงสร้างภาคการเกษตรครับโดยเชื่อว่าการใช้เงินก็คงจะวิ่งไปที่การลงทุนการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งเป็นโจทย์ที่รัฐบาลเคยพูดถึงว่าจะต้องทำในเรื่องไม่ท่วมไม่แล้งเพราะที่ผ่านมานั้นมีปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งในปีเดียวกันซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น 

รวมทั้งต้องลงทุนส่วนนี้เพื่อเพิ่มการบริหารจัดการน้ำ และจะสนับสนุนการทำเกษตรสมัยใหม่ของประเทศไทย และช่วยให้ไทยรับมือสงครามการค้าที่ต้องทำให้ภาคเกษตรของเราเข้มแข็งมากขึ้นด้วย

“มีสินค้าหลายหลายตัวที่นําเข้าจากสหรัฐได้ โดยไม่กระทบสิ่งที่เป็นอยู่ในไทย ในทางตรงข้ามอาจเพิ่มศักยภาพการนําเข้าจากสหรัฐมาแปรรูปและส่งออกได้มากขึ้น หรือถ้าเกิดเขามองว่าเราต้องการเป็นหุ้นส่วนเป็นพันธมิตรที่มากกว่านี้ ก็อาจเป็นการสนับสนุนธุรกิจไทยไปลงทุนในสหรัฐฯ มีบางธุรกิจที่เราก็สนับสนุนไปลงทุนในสหรัฐฯได้เช่นกัน”นายลวรณ กล่าว

 

 

ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1177822

 


OVERMoney