- Warren Buffett -
ที่มาภาพ : thebalance.com
อันดับที่ 1 : Warren Buffett
อันดับนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก Warren Buffett เทพยากรณ์แห่งโอมาฮ่า บุคคลต้นแบบของนักลงทุนเน้นคุณค่าทั่วโลก
แนวทางการลงทุนของวอเร็น บัฟเฟตต์ เป็นแรงบรรดาลใจให้คนจำนวนมากหันมามองถึงมูลค่าของธุรกิจมากขึ้น ลงทุนแบบเน้นคุณค่าแบบจริงๆจังๆและสร้างให้คนประสบความสำเร็จมาแล้วนักต่อนัก
"เทพยากรณ์แห่งโอมาฮ่า" ชื่อนี้ได้มาเพราะการสร้างผลตอบแทนได้อย่างงดงามของบัฟเฟตต์ จากปี 1965 -2006 เขาสร้างได้ถึง 21.4% โดยเฉลี่ย ซึ่งเขาได้ออกมาเปิดเผยแล้วว่าเคล็ดลับที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้นั้น คือ การลงทุนในสิ่งที่ตัวเราเองเข้าใจเท่านั้น และการเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึง "มูลค่าโดยเนื้อแท้" (intrinsic value) เท่านั้น พูดง่ายๆ คือ ซื้อบริษัทที่ดี ในราคาที่สมเหตุสมผล นั้นเอง
นอกจากเขาจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงแล้ว เขายังเป็นนักพูดผู้ทรงอิทธิพลอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทเบิร์กไซด์ ฮาธาเวย์ ที่มีผู้ถือหุ้นและนักลงทุนผู้ศรัทธาในการลงทุนเน้นคุณค่านับแสนคนไปฟังการบรรยายของวอเร็น บัฟเฟตต์ นี้ยังไม่นับการ Live สดที่สามารถหาชมได้ทาง Youtube หรือ Facebook ในปัจจุบัน คงไม่ต้องบอกเลยว่าอันดับ 1 ของโลก เราคงต้องยกให้วอเร็น บัฟเฟตต์ เท่านั้น ....
- Glenn Greenberg -
ที่มาภาพ : seekingalpha.com
อันดับที่ 2 : Glenn Greenberg
กรีนเบิร์กเรียนภาควิชาประวัติศาสตร์ วรรณคดี และต่อบริหารธุรกิจ MBA จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย หลังจากนั้นเขาก็เข้าทำงานในบริษัทวาณิชยกิจยักษ์ใหญ่อย่าง J.P. Morgan หลังจากเก็บประสบการณ์กับการทำงานสักพัก ตัวเขากับเพื่อนสนิทจอห์น ชาปิโร่ ได้ก่อตั้งบริษัทจัดการกองทุน Chieftain Capital Management ในปี 1984 โดยมีเอกลักษณ์การบริหารกองทุนที่ไม่เหมือนใคร แต่เขาก็เปิดเผยแค่ว่าใช้หลักการลงทุนเน้นคุณค่า แต่เป็นการลงทุนเน้นคุณค่าแบบประยุกต์ที่เขาคิดขึ้นมาเอง และก็ไม่ผิดหวังเลย ตั้งแต่ปี 1984 จนถึงปี 2004 เขาสามารถสร้างผลตอบแทนได้ปีละ 22.5% โดยเฉลี่ย ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน 12.9% เท่านั้น Chieftain เน้นในเรื่องของการลงทุนแบบเจาะลึก(Focus) จะมีหุ้นอยู่ในพอร์ตประมาณ 15 - 17 ตัวเท่านั้น และอยู่กับมันตลอดเวลา
- Seth Klarman -
ที่มาภาพ : zerohedge.com
อันดับที่ 3 : Seth Klarman
เซธ คลาร์แมนเริ่มต้นงานการลงทุนจากการบริหารกองทุน Mutual Shares Corporation ซึ่งมี แม็กซ์ เฮนซ์ และไมเคิล ไพรซ์ เป็นเจ้าของ
ในปี 1982 เซธ คลาร์แมน ได้ก่อตั้งบริษัท Baupost Group ด้วยเงินเริ่มต้น 27 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่บอสตัน วันนี้เขามีทรัพย์สินภายใต้การบริหารของเครือ Baupost Group มากถึง 2.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เท่ากับว่าเขาสร้างผลตอบแทนได้ปีละ 20% ซึ่งถือว่าสูงมาก
นอกจากเขาจะเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่าแล้ว เขายังติดอันดับผู้จัดการกองทุน hedge funds ที่ผสมผสานระหว่างการถือหุ้นระยะยาวจนถึงกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ คลาร์แมนลงทุนไม่ได้เฉพาะเจาะจงมาก เขามีความีรู้แบบกว้างๆถึงอุตสาหกรรมแต่ละแบบ แต่สิ่งที่เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งจริงๆ คือ การซื้อหุ้นที่มีส่วนลด
- Mario Gabelli-
ที่มาภาพ : thestreet.com
อันดับที่ 4 : Mario Gabelli
มาริโอ กาเบลลี่ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี 1967 หลังจากนั้น 10 ปี เขาก็ได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นวอลสตรีท โดยก่อตั้งบริษัทจัดการกองทุน Gabelli Asset Management ในปี 1977 วันนี้บริษัทของเขาบริหารเงินมากกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ มีลูกค้ามากมายไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อย สถาบัน กองทุนส่วนบุคคล กาเบลลี่ได้คิดค้นคำว่า Private Market Value ซึ่งรูปแบบใหญ่ๆแล้วมันสอดคล้องกับหลักการลงทุนของเบนจามิน เกรเฮม จริงๆแล้วเขาก็ศรัทธาเบนจามิน เกรเฮม เป็นอย่างมาก
ปัจจุบันเขามีหุ้นอยู่ในพอร์ตการลงทุนมากกว่า 600 ตัว ใน Gabelli Asset Management ให้เขาได้ติดตามตลอดเวลา
- Michael Price -
ที่มาภาพ : forbes.com
อันดับที่ 5 : Michael Price
เขาทำงานกับ แม็กซ์ เฮนซ์ ในปี 1975 หลังจากที่แม็กซ์ เฮนซ์ เสียชีวิตในปี 1988 เขาก็ได้ซื้อบริษัทหลักทรัพย์ Heine Securities และนั่งบริหารงานต่อ ไพรซ์มีชื่อเสียงมากในด้านของการลงทุนเน้นคุณค่าเหมือนกับวอเร็น บัฟเฟตต์ และคาห์น อิคาน (Carl Icahn)
ไพรซ์เน้นหนักในเรื่องของการซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่มีปัญหา และมีแนวโน้มจะแก้ไขตัวเองได้ (TurnAround stocks)
ในปี 1966 เขาได้ขายบริษัท Heine Securities ให้กับ Franklin Resources และก่อตั้งบริษัท MFP ของตัวเองขึ้นมา รับบริหารเงินอย่างต่อเนื่อง
- Peter Lynch -
ที่มาภาพ : masterinvestor.co.uk
อันดับที่ 6 : Peter Lynch
ในแวดวงการลงทุน มีนักลงทุนชาวไทยคนไหนบ้างไม่รู้จักปีเตอร์ ลินซ์ แสดงว่าเขาคนนั้นยังไม่เข้าใจถึงแก่นการลงทุนเน้นคุณค่ามากเพียงพอ สำหรับนักลงทุนที่อยากจะศึกษาการลงทุนเน้นคุณค่า มักจะเริ่มจากหนังสือแปลขายดีอันดับ 1 ตลอดกาลนั้นคือ "เหนือกว่าวอลสตรีท" One Up On Wall Street ที่เปลี่ยนชีวิตการลงทุนมานักต่อนักแล้ว นอกจากนั้นด้วยลีลาการเขียนที่เข้าใจง่าย การเปรียบเทียบของหุ้นในเชิงลึกที่ใช้ภาษาพูด ทำให้คนอ่านจำนวนมากเข้าใจและติดใจจนต้องหาซื้อหนังสืออีก 2 เล่ม มาอ่านต่อ
ในประเทศไทย มีหนังสือแปลของปีเตอร์ ลินซ์ 3 เล่ม และผู้เขียนก็แนะนำให้นักลงทุนต้องหามาอ่านให้ได้ นั้นคือ
"Learn to Earn - เรียนให้รวย แปลโดย นรา สุภัคโรจน์"
"One Up On Wall Street - เหนือกว่าวอลสตรีท แปลโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร"
และ "Beating the Street - ลงทุนอย่าง...ปีเตอร์ ลินช์ แปลโดย พรชัย รัตนนนทชัยสุข"
ลินซ์ จบการศึกษาด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยบอสตันในปี 1965 หลังจากนั้นเขาก็เรียนต่อการบริหารธุรกิจ MBA ในปี 1968 และเริ่มทำงานให้กับบริษัทการลงทุน Fidelity Investments สายนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ด้วยผลงานที่เข้าตาและวิเคราะห์หุ้นที่ไม่ค่อยจะมีคนสนใจนัก เขาก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหารกองทุนแมกเจลแลน เขาเริ่มต้นบริหารในปี 1977 และเกษียณตัวเองในปี 1990 ระหว่างที่เขาบริหารกองทุนนั้นทำให้เงินเพียงแค่ 20 ล้านเหรียญเติบโตขึ้นมาเป็น 1 หมื่น 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ยิ่งกว่านั้นเขาสามารถสร้างผลตอบแทนเหนือกว่าดัชนี S&P 500 11 ปี จากทั้งหมด 13 ปี นั้นหมายความว่าเขาสร้างผลตอบแทนมากถึง 29% ตลอดระยะเวลา 13 ปี ขึ้นแท่นผู้จัดการกองทุนในตำนานตลอดกาลของอเมริกาและของโลกอีกด้วย เขามีชื่อเสียงในด้านการลงทุนในหุ้นเติบโต นอกจากการลงทุนแล้วเขายังเป็นนักเขียนหนังสือทางการลงทุนที่ขึ้นแท่ง Best Seller
ปัจจุบัน ปีเตอร์ ลินซ์ ใช้ชีวิตสงบสุขอยู่กับครอบครัวในเมืองบอสตัน รับบริหารเงินให้กับองค์กรการกุศลโดยไม่คิดค่าบริหาร เดินสายบรรยายให้กับนักลงทุนรุ่นใหม่ นี้คือชีวิตในอุดมคติของคนทั่วโลกจริงๆ นั้นคือ ร่ำรวย มีความสุขและอยู่อย่างสงบ
- Joel Greenblatt -
ที่มาภาพ : santangelsreview.com
อันดับที่ 7 : Joel Greenblatt
โจเอล กรีนแบร์ท จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเพนซิวาเนียในปี 19979 และเรียนต่อบริหารธุรกิจในปี 1980 หลังจากนั้นในปี 1985 เขาก็ทำงานเป็นผู้ช่วยเฮดจ์ฟันด์ ในบริษัทจัดการเงินลงทุน Gotham Capital ที่มีเม็ดเงินขนาด 7 ล้านเหรียญสหรัฐ
กรีนแบร์ท มีชื่อเสียงในฐานะเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่าทาง"ฝั่งซื้อ" (ซึ่งเขาเรียกตัวเองแบบนั้น เพราะเขาถนัดในการซื้อ แต่เขาไม่ค่อยถนัดในการขายสักเท่าไร เพราะเขาคิดว่าหุ้นที่เราซื้อถูกตัวถูกเวลา ไม่มีความจำเป็นจะต้องขาย - ผู้แปล) อย่างไรก็ตาม เขาก็มีหลักการบริหารเงินลงทุนนั้นคือ ซื้อในหุ้นที่มีมูลค่าถูกในบริษัทที่ดี มีปันผลให้กับผู้ถือหุ้น เขาลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (Focus) และมีหุ้นไม่กี่ตัวอยู่ในพอร์ต
ปัจจุบัน เขายังเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า นักเขียน และอาจารย์พิเศษทางด้านการลงทุนให้กับมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
- Walter Schloss -
ที่มาภาพ : acquirersmultiple.com
อันดับที่ 8 : Walter and Edwin Schloss
วอลเธอร์ ชล็อต เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนักลงทุนเน้นคุณค่าที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เพราะเขาคือลูกศิษย์สายตรงที่เรียนกับอาจารย์เบนจามิน เกรเฮม ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียและได้ทำงานใน Graham-Newman กับอาจารย์ของเขาอยู่หลายปี เขาเริ่มต้นตั้งหุ้นส่วนจำกัด (limited partnership) ในปี 1955 พร้อมกับลูกชายของเขา เอ็ดวิน ชล็อต
ปรัชญาการลงทุนของเขา มีอยู่ 2 คำ คือ "ถูกและดี" ถูก นั้นหมายถึงซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่า และดีหมายถึงบริษัทที่ดี ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับนักลงทุนคนอื่นๆ วอลเธอร์ ชล็อต ถือว่าเป็นบุคคลที่ยังคงต้นแบบของอาจารย์เบนจามิน เกรเฮม ได้อย่างยาวนาน ในขณะที่นักลงทุนคนอื่นๆ มีการพัฒนาแนวทางการลงทุนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การหาหุ้นเติบโต การหาหุ้นพลิกฟื้น
ตลอดการลงทุน 50 ปี ของวอลเธอร์ ชล็อต สร้างผลตอบแทนได้ประมาณ 15.3% ต่อปี ถือว่าเป็นผลตอบแทนทบต้นที่สูงมาก
- Ed Lampert -
ที่มาภาพ : businessinsider.com
อันดับที่ 9 : Ed Lampert
เอ็ด แรมเพิร์ต หรือเอ็ดดี้ แรมเพิร์ต จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเยลในปี 1984 เราเริ่มต้นทำงานให้กับ Goldman Sachs เป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายตัว หลังจากทำงานได้ 4 ปี เขาออกมาตั้งบริษัท ESL Investments ด้วยเงินลงทุนประมาณ 28 ล้านเหรียญสหรัฐ
แรมเพิรต์ มีเอกลักษณ์การลงทุนที่เรียกกันว่า "เน้นคุณค่าแบบเข้มข้น" (Concentrated Value) หมายถึง เขาเจาะลึกในบริษัทที่เขาสนใจแบบจริงๆจังๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มค้าปลีก เขาบอกว่ามีความชำนาญในกลุ่มค้าปลีกเป็นอย่างมาก เขารู้ยอดขายและกำไรของบริษัทย้อนหลังเป็น 10 ปี ความเคลื่อนไหวของบริษัท ราคาหุ้น การลงทุน P/E และ P/BV ของหุ้นย้อนหลังอยู่ในหัวสมองของเขาหมด สิ่งนี้เองที่เขาเรียกว่า เน้นคุณค่าแบบเข้มข้น
เขาเป็นนักลงทุนประเภท ซื้อและถือ หุ้นตัวหนึ่งเขาใช้เวลาหลายปีในการถือมันไว้ มีตั้งแต่ 3 ปี จนถึง 15 ปี ตั้งแต่เขาก่อตั้งกองทุน ESL Investments เขาสร้างผลตอบแทนประมาณ 29% ต่อปีโดยเฉลี่ย
- Todd Combs -
ที่มาภาพ : linkedin.com
อันดับที่ 10 : Todd Combs
ธ๊อด คอมป์ จบจากมหาวิทยาลัยฟรอริด้า และเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี 2002 ต่อมาในปี 2005 เขาเริ่มต้นสายอาชีพทางการเงินกับ Castle Point Capital และสร้างผลตอบแทน 5 ปี ตั้งแต่ 2005-2010 ได้ประมาณ 34% ต่อปี
ในปี 2010 วอเร็น บัฟเฟตต์ได้ชักชวนคอมป์ ให้มาทำงานกับเบิร์กไซด์ ฮาธาเวย์ และตั้งเป้าไว้ว่า คนๆนี้จะมาเป็นผู้บริหารจัดการด้านการลงทุนให้กับเบิร์กไซด์ ฮาธาเวย์
--------------------------------
เขียนและเรียบเรียงโดย SiTh LoRd PaCk
ที่มา www.moneyweb.co.za
---------------------------------