ความมั่งคั่งอันเงียบงันของไทย: ความยืดหยุ่นในโลกที่ผันผวน
ลองจินตนาการว่าคุณอยู่ในเมืองที่อากาศเปลี่ยนทุกวัน…
บางวันแดดจ้า บางวันพายุเข้า บางวันฟ้าโปร่งแต่ฝนตก
นี่แหละคือภาพของเศรษฐกิจโลกวันนี้
ที่เต็มไปด้วยหนี้ที่พุ่งสูง เงินทุนไหลเข้าไหลออก
และค่าเงินผันผวนตลอดเวลา
แต่ในสภาพอากาศแปรปรวนเช่นนั้น
“ประเทศไทย” กลับยืนอยู่บนฐานที่มั่นคงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค
สิ่งนี้มีชื่อเรียกทางเศรษฐกิจว่า “ประเทศเจ้าหนี้สุทธิ” (Net Creditor Nation)
หรือ “ประเทศที่เป็นเจ้าของโลกมากกว่าที่เป็นหนี้โลก”
ซึ่งใน ASEAN มีไม่กี่ประเทศเท่านั้น… และไทยคือหนึ่งในนั้น

ภาพใหญ่ที่มักถูกมองข้าม
ณ ไตรมาส 2 ปี 2025 NIIP (สถานะการลงทุนระหว่างประเทศสุทธิ) ของไทย
อยู่ที่ 109.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ คิดเป็น 19.8% ของ GDP
เปรียบเทียบกับต่างประเทศที่ยังคงพึ่งพาเงินทุนต่างชาติเป็นหลัก
- อินโดนีเซีย -17.2%
- ฟิลิปปินส์ -14.3%
- มาเลเซีย 3.3%
ส่วน สิงคโปร์ แน่นอนว่าอยู่กันคนละโลก
ด้วย NIIP มากกว่า 150% ของ GDP
จากการสะสมความมั่งคั่งระหว่างประเทศมายาวนาน
แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ… ประเทศไทย
“เคยติดลบ -20% ของ GDP”
เมื่อ 13 ปีก่อน และสามารถพลิกกลับมา
“เป็นบวกเกือบ +20%” ได้สำเร็จในวันนี้
เป็นหนึ่งในการกลับมาที่น่าจับตาที่สุดของภูมิภาค
ไทยสะสม “ความมั่งคั่งระหว่างประเทศ” ผ่าน 3 ช่องทางสำคัญ
1.ทุนสำรองระหว่างประเทศ (Foreign Reserves)
ด้วยมูลค่า 262 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
มากกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นถึง 3 เท่า
➝ นี่คือ “กันชนทางการเงิน”
ที่ช่วยให้ไทยรับมือกับความผันผวนของเงินทุนได้โดยไม่ต้องวิ่งหาเงินกู้ฉุกเฉิน
2.การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (Direct investment abroad)
มูลค่ากว่า 216 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 40% ของ GDP
➝ ไทยไม่ได้แค่รับเงินทุนจากต่างชาติ แต่ “ส่งทุนไปลงทุนทั่วโลก”
ตั้งแต่โรงไฟฟ้าในอาเซียน ธุรกิจค้าปลีก ไปจนถึงโรงแรมในยุโรป
3.การลงทุนในสินทรัพย์การเงิน (Portfolio Investment)
กองทุนบำเหน็จบำนาญ บริษัทประกัน และกองทุนรวมของไทย
เริ่มกระจายลงทุนไปต่างประเทศมากขึ้น
➝ นี่คือการบริหารความเสี่ยงอย่างเงียบ ๆ ลดการพึ่งพาตลาดในประเทศ
ด้านหนี้สินระหว่างประเทศของไทย
แม้โดยรวมยังคงอยู่ในระดับมั่นคง (หนี้ระยะยาวเป็นหลักในภาคการผลิตและบริการ) แต่…
- นักลงทุนต่างชาติเริ่มลดการถือครองหุ้นและพันธบัตรไทย
- สะท้อนความกังวลต่อ “ศักยภาพการเติบโต” มากกว่าความมั่นคงทางการเงิน
บทสรุปที่ไทยต้องตอบตัวเอง
ประเทศไทยทำ “ส่วนที่ยาก” ได้สำเร็จแล้ว เราสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินได้อย่างมั่นคง
แต่ “ภารกิจต่อไป” ไม่ใช่แค่การตั้งรับ…
ประเทศที่เปลี่ยนความมั่งคั่งระหว่างประเทศให้เป็นความได้เปรียบระยะยาว
ล้วนมี “แผนระยะยาว” และ “สถาบันที่เข้มแข็ง”
- สิงคโปร์ ใช้เงินสะสมจากต่างประเทศสร้างทุนของรัฐ
- นอร์เวย์ ใช้ Sovereign Wealth Fund วางอนาคต
แล้วประเทศไทยล่ะ?
พร้อมหรือยังที่จะใช้ฐานะ Net Creditor Nation
ให้เป็น จุดเริ่มต้นของการลงทุนเชิงรุก สร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืน?
เพราะความมั่นคงทางการเงิน…
จะมีค่ามากที่สุดก็ต่อเมื่อเราใช้มันเกิดประโยชน์สูงสุด
.
เรื่องและภาพ: ธนโชติ นนทกะตระกูล Economist, Bnomics
════════════════
ที่มาบทความจาก.. Bnomics by Bangkok Bank