การยกระดับทักษะแรงงานไทย: โจทย์ใหญ่ในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
ดร. เสาวณี จันทะพงษ์ ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค
นายกัมพล พรพัฒนไพศาลกุล ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
“Machines are coming to take our jobs”ค ากล่าวนี้ก าลังเป็นที่ถกเถียงอย่างกว้างขวาง หน่วยงานวิจัยหลายแห่ง คาดการณ์ถึงแนวโน้มที่เทคโนโลยีสมัยใหม่ทั้งระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ AI IoT (Internet of Things) ที่ใช้อย่างแพร่หลายใน การผลิตสินค้าบริการและในชีวิตประจ าวันว่าจะมาทดแทนหรือถึงขั้นยึดครองตลาดแรงงานหรือไม่ ซึ่ง OECD (2018) ประเมินว่าในอีก 15 ปีข้างหน้า 14% ของแรงงานมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกทดแทนด้วยระบบอัตโนมัติและอีก 30% เผชิญกับ การเปลี่ยนแปลงทักษะที่ใช้ในการท างานอย่างมาก และรายงานล่าสุดของ Mckinsey Global Institute เดือนกุมภาพันธ์ 2562 คาดว่าประมาณครึ่งหนึ่งของงาน (Work Activities) ที่เคยใช้แรงงานคนจะถูกทดแทนโดยระบบอัตโนมัตินอกจากนี้ หลายประเทศทั่วโลกต่างประสบปัญหาของการไม่สามารถสร้างเยาวชนและคนวัยท างานให้มีทักษะการท างานและทักษะชีวิต ที่สูงพอที่จะเผชิญการท างานยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ท าให้เราเกิดค าถามว่าตลาดแรงงานและการศึกษาและฝึกอบรมของไทย พร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพงานและทักษะแรงงานแห่งอนาคตได้หรือไม่อย่างไร
- ทุนมนุษย์ของไทย: ผลิตภาพแรงงานไม่โต หุ่นยนต์แย่งงานมนุษย์?
จากข้อมูล Asian Productivity Organisation (APO) ปี 2561 ชี้ว่าผลิตภาพแรงงานไทยที่วัดโดย GDP ต่อคน น้อยกว่าสิงคโปร์เกือบ 5 เท่า โดยในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ผลิตภาพแรงงานไทยอยู่ในระดับใกล้เคียงเดิมและยังลดลงใน ภาคเกษตรและอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ไทยยังมีขนาดแรงงานนอกระบบถึง 55% ของแรงงานทั้งหมด ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้ไม่ได้ รับความคุ้มครองและไม่มีหลักประกันทางสังคม ส่วนใหญ่มีการศึกษาและผลิตภาพต่ า มีรายได้น้อยเทียบกับแรงงานในระบบ
ในมิติความเสี่ยงด้านหุ่นยนต์แย่งงานคน งานศึกษาของ World Bank (2016) พบว่าระยะหลังเริ่มเห็น แนวโน้มการใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมากขึ้นในกลุ่ม Emerging Markets วัดจากจ านวนสต๊อกของหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ซึ่งไทยติดอยู่ในอันดับต้นๆ ในกลุ่มนี้คาดว่าไทยน่าจะน าหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาใช้เพิ่มขึ้นเพราะคุ้มค่าต่อการลงทุนหาก ดูจากทั้งปัจจัยด้านค่าจ้างแรงงาน การขาดแคลนแรงงาน ราคาหุ่นยนต์อุตสาหกรรม และระยะเวลาการใช้งาน ในด้าน ผลกระทบต่อการจ้างแรงงาน ILO (2016) คาดว่าในอีก 10-20 ปีข้างหน้า 56% ของแรงงานทั้งหมดใน ASEAN-5 จะ ได้รับผลกระทบจากการใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในการผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งจะเกิดขึ้นมากในภาคอุตสาหกรรม การผลิตและภาคบริการทั้งธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร ค้าปลีกและค้าส่ง ก่อสร้าง และธุรกิจ BFSI (Banking, Financial Service, Insurance) จะเห็นว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสร้างความเสี่ยงต่อแรงงานหลากหลายทักษะอาชีพ และมีความต้องการสูงในทักษะเฉพาะมากขึ้น อาทิ กลุ่มผู้บริหารและผู้ประกอบการที่สามารถคิดค้นผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ นักพัฒนาซอฟต์แวร์และฐานข้อมูล
- การยกระดับทักษะแรงงาน: ไทยพร้อมรับมือกับคลื่น “เทคโนโลยีดิสรัปชั่น” แล้วหรือยัง
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก่อให้เกิดธุรกิจและอาชีพใหม่ๆ คนท างานในอนาคตจึงต้องมี “ทักษะชุดใหม่” ที่สามารถ ท างานร่วมกับหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติได้โดยเฉพาะทักษะด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล ท าให้เกิดแรงกดดันให้แรงงานต้อง พัฒนาทักษะใหม่ๆ ตลอดเวลาหากต้องการอยู่ในตลาดแรงงานต่อไป สอดคล้องกับรายงาน “The Future of Jobs Report 2018” ของ World Economic Forum ซึ่งส ารวจผู้ประกอบการทั่วโลกถึงความจ าเป็นในการพัฒนาทักษะแรงงานภายในปี 2565 พบว่า 54% ของแรงงานทั้งหมดต้องได้รับการพัฒนาทักษะทั้งการ Reskill และ Upskill ในส่วนของไทยรายงาน ระบุว่าผู้ประกอบการให้ความเห็นสอดคล้องกับภาพรวมทั่วโลก กล่าวคือประมาณครึ่งหนึ่งของแรงงานไทยต้องรับการพัฒนา ทักษะทั้งด้าน “Technical Skill” โดยเฉพาะการคิดวิเคราะห์และการคิดเชิงนวัตกรรม และความคิดเชิงสร้างสรรค์และ ความคิดริเริ่ม รวมถึง “Human skill” ที่สามารถเข้าใจจิตใจและอารมณ์ของผู้อื่นได้ ซึ่งหุ่นยนต์ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้ (รูป 1)
ปัจจุบัน กลไกและสถาบันการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานของไทยมีอยู่ทั้งในภาครัฐและเอกชนตาม พ.ร.บ. ส่งเสริม การพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 โดยภาครัฐมีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นหน่วยงานหลักที่ดูแล ซึ่งพันธกิจส าคัญคือ “พัฒนาทักษะคนท างานทุกระดับและผู้ประกอบกิจการให้มีผลิตภาพสูงสู่ไทยแลนด์ 4.0” มีศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานใน 25 จังหวัด ให้บริการด้านการฝึกอบรมแก่แรงงานในหลายสาขาอาชีพ เช่น ช่างฝีมือ 7 สาขา เทคโนโลยีชั้นสูงรวมถึงสาขาหุ่นยนต์ และ AI การฝึกเตรียมเข้าท างาน ภาษาต่างประเทศ เป็นต้น รวมประมาณปีละ 2-3 แสนคน และหน่วยงานอย่าง กรุงเทพมหานครเองก็มีศูนย์ฝึกอาชีพ 17 แห่ง อบรมแรงงานปีละ 2 หมื่นคน นอกจากนี้ยังมีสถาบันการอบรมเฉพาะทาง เช่น สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์รวมถึงสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่ให้บริการฝึกอบรมแก่ประชาชนทั่วไป โดยในปี 2561 กระทรวงแรงงานได้พัฒนาศักยภาพแรงงานทั้งลูกจ้างในสถานประกอบการ นักเรียน/นักศึกษา และประชาชนทั้งสิ้น 4.78 ล้านคน ส่วนภาคเอกชน ธุรกิจขนาดใหญ่มักมีสถาบันจัดฝึกอบรมให้พนักงานของตนเอง เช่น โรงเรียนทักษะพิพัฒน์ ของ SCG บริษัทปัญญธารา ของ ซีพี ออลล์ บริษัท มิชลิน ประเทศไทยเป็นต้น จากข้อมูลกระทรวงแรงงานปี 2560 ภาคเอกชน ฝึกอบรมแรงงานเฉลี่ยปีละ 4.3 ล้านคน จากจ านวนผู้ประกอบเฉลี่ยปีละ 10,952 บริษัท
หากเจาะลึกข้อมูลการฝึกอบรมแรงงานปี 2560 ที่จัดโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน พบว่ามีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ ยกระดับฝีมือ รองลงมาคือ สร้างอาชีพเสริม และเตรียมเข้าท างาน สาขาการฝึกอบรมที่มีความต้องการสูงสอดคล้องกับ สาขาที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเกือบ 40% เป็นสาขาช่างฝีมือด้านการผลิต ส่วนใหญ่กระจุกในสาขาช่าง ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์รองลงมา 17% เป็นสาขาโรงแรมและภัตตาคารที่อยู่ในกลุ่มอาชีพแม่บ้านของโรงแรม แม่ครัวและพนักงานเสิร์ฟ โดยในแต่ละสาขามีอัตราการเรียนจบหลักสูตรเกือบ 100% และอัตราการสอบผ่านการทดสอบ มาตรฐานฝีมือแรงงานของช่างฝีมือด้านการผลิตและด้านบริการอยู่ในระดับสูงที่70%-90% ขณะที่สาขาอาชีพอื่นอยู่ในอัตรา ต่ ากว่า (รูป 2)
- Lifelong Learning, Employability Skills และการสร้างนวัตกรรม: กุญแจส าคัญของการพัฒนาและ ยกระดับทักษะแรงงานแห่งอนาคต
หุ่นยนต์มาจากค าว่า “โรบอต” (Robot หรือ Robota) ในภาษาเช็ก ซึ่งแปลว่า “ทาสหรือผู้ถูกบังคับใช้แรงงาน” หุ่นยนต์อุตสาหกรรมตัวแรกของโลกสร้างขึ้นในปี 2504 การมาถึงของเทคโนโลยีใหม่ทั้งหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติไม่ใช่เรื่อง ใหม่ ท าอย่างไรที่แรงงานแห่งอนาคตจะฝึกควบคุมและท างานร่วมกับระบบอัตโนมัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ค าตอบคือการ พัฒนายกระดับทักษะแรงงานที่เน้นการเรียนรู้ไม่สิ้นสุด (Lifelong Learning) ในสาขาที่จ าเป็นต่ออาชีพในอนาคต ความรู้ พื้นฐานเพื่อการจ้างงาน (Employability Skills) และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น โดยเราจะไปถึงเป้าหมายดังกล่าว ได้ด้วยแนวทางต่อไปนี้ 1) ภาคเอกชนควรร่วมกันกับภาครัฐลงทุนด้านการพัฒนาแรงงานโดยเฉพาะการออกแบบหลักสูตรที่ สนองตอบต่ออุปสงค์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เหมือนเช่นในเยอรมนีและสิงคโปร์ และขยายบทบาทการจัดฝึกอบรมของ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานให้ครอบคลุมมากขึ้นโดยรวมถึงกลุ่มแรงงานของธุรกิจขนาดเล็กและแรงงานนอกระบบ 2) การ เชื่อมโยงทักษะแรงงานต้องการในอนาคตกับระบบการศึกษาไทยให้มากขึ้นโดยเฉพาะทักษะด้านการคิดวิเคราะห์และการ คิดเชิงนวัตกรรมและทักษะความคิดเชิงสร้างสรรค์และความคิดริเริ่ม และ 3) ควรมีกลไกไตรภาคีระหว่าง รัฐ เอกชน และ แรงงาน ร่วมกันพัฒนาทักษะคนไทยเพื่อให้เป็นปัจจัยผลักดันให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างเต็มที่
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จ าเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก....bot.or.th