Bottom ของตลาดอยู่ตรงไหน... เฟ้นหาโอกาสท่ามกลางความผันผวนจาก Tariffs
Downside ตลาดอยู่ตรงไหน เฟ้นหาโอกาสท่ามกลางวิกฤต

มุมมองในระยะ 3- 6 เดือน
ตลาดกังวลกับประเด็น Reciprocal Tariffs สะท้อนผ่านแรงขายที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น ส่งผลให้ระดับ Valuation ที่สะท้อนผ่าน FWD P/E 5 ปีนั้นกลับไปซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี
ทีม Asset Allocation ประเมินว่าปฏิกิริยาตอบสนองของนักลงทุนในตลาดนั้นแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ถูกเทขายออกมาเพราะยังไม่ได้สะท้อนปัจจัยลบในปัจจุบันอย่างตลาดเกิดใหม่บางประเทศ เช่น เวียดนาม ซึ่งต่างกับไทยที่มีการปรับตัวลงไปแล้วในช่วงก่อนหน้าบางส่วน และอีกกลุ่มคือกลุ่มที่มีการสะท้อนไปทั้งด้านราคาและปัจจัยพื้นฐานไปบ้างแล้วอย่าง สหรัฐอเมริกา ซึ่งจากข้อมูลของ Factset พบว่าผู้บริหารส่วนมากมีความกังวลถึงประเด็น "ภาษีนำเข้า" มากกว่า "เงินเฟ้อ" หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทำให้นักวิเคราะห์หลายสำนัก ทยอยปรับลดประมาณการกำไรตลาดโดยรวมและดัชนีเป้าหมายลง
อย่างไรก็ดี เรามองว่าในช่วงสัปดาห์ต่อจากนี้การปรับตัวลดลงของตลาดจะเริ่มช้าลง เนื่องจากการเข้าสู่ช่วงการรายงานผลประกอบการของธนาคารขนาดใหญ่อย่าง JPM , WFC , MS ที่จะเริ่มรายงานตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2025 เป็นต้นไป

Satellite Portfolio สำหรับการลงทุนช่วง 3 ถึง 6 เดือน
ทั้งนี้ ในช่วงก่อนหน้านี้ทีมแนะนำให้หลีกเลี่ยง และทำกำไรไปบางส่วนสำหรับตลาดหุ้นที่ยังไม่ได้ตอบสนองกับปัจจัยลบจาก Tariffs อย่าง ตลาดหุ้นเวียดนามที่ก่อนหน้านี้ขึ้นเหนือ 1,300 จุด และแนะนำให้ติดตามสถานการณ์การเจรจาของเวียดนามอย่างใกล้ชิดในช่วงต่อจากนี้
เราประเมินว่า การปรับตัวลดลงจากความกังวลด้านภาษีนั้น เป็นโอกาสในการเลือกสินทรัพย์ที่น่าสนใจแก่การลงทุน โดยปัจจุบันคำแนะนำการลงทุนในระยะสั้นของเรายังเน้นการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย เนื่องจากมีสัดส่วนการพึ่งพาการส่งออกในระดับที่ต่ำ ตลอดจนมีโอกาสฟื้นตัวเมื่อมีการปรับประมาณการำกำไรเพิ่มขึ้น หลังถูกปรับลดในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ผ่านกองทุน KT-INDIA-A โดยให้ทยอยสะสมเมื่อดัชนี NIFTY 50 อยู่ในกรอบ 23,000 – 24,000 โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 25,200 และจุดตัดขาดทุนบริเวณ 22,000

Satellite Portfolio สำหรับการลงทุนช่วง 6 ถึง 12 เดือน
เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ผ่านกองทุน TUSFIN-A และ K-JP-A(D) ตามลำดับ โดยเราประเมินว่าการใช้นโยบาย Tariffs ของทรัมป์ในครั้งนี้ แม้จะมีเครื่องมือและวัตถุประสงค์เพื่อการต่อรองก็เช่นเดียวกับปี 2018 – 2019 แต่ลำดับการใช้นโยบายในครั้งนี้ “แตกต่าง” กัน ในครั้งนี้ทรัมป์เน้นการดำเนินนโยบายภาษีนำเข้าก่อน (Front Load) และเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจตามหลัง (Back Load) ซึ่งการเปรียบเทียบการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในช่วงนี้กับปี 2017 – 2018 จึงไม่สอดคล้องกัน
เราจึงมองว่าพัฒนาการของตลาดต่อจากนี้ จะขึ้นอยู่กับการเดินหน้าเจรจาของประเทศต่างๆ เป็นสำคัญ และอาจมีความผันผวนจากการตอบโต้ของนานาชาติเป็นระยะๆ
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นและทิศทางการเจรจาการค้าในช่วงต่อจากนี้ ประกอบกับระดับการซื้อขายของตลาดหุ้นในกรอบ -1 SD ในหลายตลาด โดยเฉพาะตลาดที่มีการเติบโตของกำไรต่อหุ้นที่สูงกว่าตลาดหุ้นโลก จึงมีความน่าสนใจในการเข้าลงทุนหรือพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการลงทุน มากกว่าที่จะพิจารณาขายทิ้งในปัจจุบัน