ตลาดการเงินโลกหายใจโล่ง! หลังดีลหยุดยิงอิสราเอล-อิหร่าน ดันหุ้นพุ่ง-ทุบน้ำมันดิ่ง | Podcast Available
อรุณสวัสดิ์ค่ะทุกคน หลังจากที่เราเฝ้าติดตามสถานการณ์ในตะวันออกกลางด้วยใจระทึกมาตลอดหลายวัน ในที่สุดเช้านี้ก็มีข่าวใหญ่ที่เปรียบเสมือนการกดปุ่ม "Reset" ให้กับตลาดการเงินทั่วโลก
นั่นคือการประกาศ "หยุดยิง" ชั่วคราวระหว่างอิสราเอลและอิหร่านโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งข่าวนี้ได้ส่งแรงกระเพื่อมมหาศาลไปทั่วทุกสินทรัพย์ แต่เบื้องหลังข่าวใหญ่นี้มีรายละเอียดและประเด็นอื่นๆ ซ่อนอยู่มากมายที่เราต้องมาเจาะลึกกันค่ะ

เบื้องหลังการประกาศหยุดยิงที่ยังต้องจับตา
การประกาศหยุดยิงครั้งนี้เป็นการประกาศแบบ "เซอร์ไพรส์" ผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ของทรัมป์เลยค่ะ เขาได้โพสต์ข้อความแสดงความยินดีต่อทั้งสองประเทศที่ "มีความอดทน ความกล้าหาญ และสติปัญญา" ที่จะยุติสิ่งที่เขาเรียกว่า "สงคราม 12 วัน" (THE 12 DAY WAR) โดยระบุว่าข้อตกลงนี้มีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การยุติการต่อสู้ที่ยั่งยืน และจะเริ่มมีผลในเวลาเที่ยงคืนของวันจันทร์ตามเวลากรุงวอชิงตัน
เบื้องหลังการประกาศนี้ รองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ "ต่อสายโทรศัพท์เจรจาอย่างต่อเนื่อง" ตลอดทั้งวันจันทร์เพื่อผลักดันให้ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นให้ได้
แต่จุดที่ทำให้ทั้งโลกต้องกลั้นหายใจก็คือ ยังไม่มีการแถลงยืนยันอย่างเป็นทางการจากทั้งรัฐบาลอิสราเอลและอิหร่าน ทันทีหลังจากที่ทรัมป์ประกาศออกมา ความเงียบนี้สร้างความไม่แน่นอนขึ้นมาทันที
ที่น่าสนใจและซับซ้อนไปกว่านั้น คือในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน สื่อของทางการอิหร่านเองกลับรายงานว่ามีเสียงระเบิดดังขึ้นในกรุงเตหะรานและเมืองอื่นๆ อีกหลายแห่ง ทำให้เกิดคำถามตัวโตๆ ขึ้นมาทันทีว่าสถานการณ์ที่แท้จริงคืออะไรกันแน่?
ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านก็เพิ่งออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เตหะรานไม่ได้ต้องการขยายความตึงเครียด แต่ก็พร้อมที่จะตอบโต้หากถูกสหรัฐฯ รุกรานเพิ่มเติม เรื่องราวทั้งหมดจึงเต็มไปด้วยความซับซ้อน การเจรจาลับ และท่าทีที่แสดงออกต่อสาธารณะซึ่งอาจสวนทางกันอยู่ค่ะ
จุดเปลี่ยนสำคัญ: การตอบโต้ที่ "เหมือนจัดฉาก" ของอิหร่าน
ก่อนที่จะมีข่าวดีเรื่องการหยุดยิง จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ตลาดคลายกังวลก็คือปฏิบัติการตอบโต้ของอิหร่านค่ะ เรื่องนี้เหมือนการแสดงละครฉากใหญ่ที่ถูกเขียนบทมาอย่างดีมากๆ
เป้าหมายที่อิหร่านเลือกโจมตีคือ ฐานทัพอากาศ อัล อูเดด ในกาตาร์ ซึ่งไม่ใช่แค่ฐานทัพธรรมดา แต่เป็นที่ตั้งของกองบัญชาการกลางของสหรัฐฯ ในภูมิภาค (US Central Command) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญเลยทีเดียว
อิหร่านประกาศว่าการโจมตีนี้เป็นการตอบโต้อย่าง "สาสมและเด็ดขาด" ต่อการที่โรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งของตน (ที่เมืองฟอร์โด, นาแทนซ์ และอิสฟาฮาน) ถูกทิ้งระเบิดในช่วงสุดสัปดาห์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับเต็มไปด้วยสัญญาณของการ "ลดระดับความรุนแรง" ค่ะ
มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า: ประธานาธิบดีทรัมป์เองออกมาบอกว่าการโจมตีของอิหร่านนั้น "อ่อนมาก" และเป็นเรื่องที่ "เตหะรานส่งซิกบอกล่วงหน้า" จนถึงขั้นที่เขากล่าวขอบคุณอิหร่านสำหรับการเตือนล่วงหน้าเลยทีเดียว
ฐานทัพถูกอพยพและป้องกันได้: ทางการกาตาร์ยืนยันว่าขีปนาวุธถูกสกัดไว้ได้ และที่สำคัญคือฐานทัพได้อพยพกำลังพลออกไปก่อนแล้ว ทำให้ไม่มีความเสียหายร้ายแรง
อิหร่านส่งสารผ่านสื่อของตนเอง: สื่อของรัฐบาลอิหร่านถึงกับรายงานว่า จำนวนขีปนาวุธที่ยิงออกไปนั้น "มีจำนวนเท่ากับจำนวนระเบิดที่สหรัฐฯ ใช้" และการโจมตีครั้งนี้ "ไม่เป็นอันตรายต่อประเทศเพื่อนบ้านและพี่น้อง" อย่างกาตาร์
การกระทำทั้งหมดนี้ถูกนักวิเคราะห์มองว่า เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่อิหร่านจำเป็นต้องทำเพื่อ "รักษาหน้า" กับประชาชนในประเทศและแสดงให้ศัตรูเห็นว่าตนเองพร้อมตอบโต้ แต่ในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงการเปิดศึกเต็มรูปแบบที่อาจนำไปสู่สงครามที่ตนเองไม่สามารถชนะได้
เมื่อนักลงทุนในตลาดอ่าน "บทละคร" ฉากนี้ออก ความกลัวสงครามใหญ่จึงจางลง และนำไปสู่การเทขายน้ำมันและเข้าซื้อหุ้นอย่างที่เราเห็นกันค่ะ
ตลาดการเงินตอบรับข่าวดีอย่างท่วมท้น
ทันทีที่ความเสี่ยงเรื่องสงครามใหญ่ลดระดับลง ตลาดการเงินก็ตอบสนองเหมือนการเปิดฝาหม้อแรงดันเลยค่ะ เราได้เห็นการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ต่างๆ พร้อมกันทั่วโลกอย่างชัดเจน
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities): พระเอกของงานนี้คือน้ำมันที่ถูกเทขายอย่างหนักค่ะ ราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงไปมากกว่า 5% ทะลุแนวรับสำคัญที่ 70 ดอลลาร์ ลงไปซื้อขายกันแถวๆ 65.82 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับวันจันทร์ที่ราคายังแกว่งตัวอย่างบ้าคลั่งในกรอบกว้างถึง 10 ดอลลาร์จากการเก็งข่าวรายชั่วโมง
ในทางกลับกัน สินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง ทองคำ กลับปรับตัวลดลงเล็กน้อย 0.3% ซึ่งเป็นการยืนยันว่านักลงทุนรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น จึงลดการถือครองทองคำลง
ตลาดหุ้นทั่วโลก (Equities): บรรยากาศเป็นบวกอย่างยิ่งค่ะ เริ่มตั้งแต่สัญญาล่วงหน้าในสหรัฐฯ ที่ดัชนี S&P 500 บวกขึ้น 0.4% ต่อเนื่องจากที่วันจันทร์ตลาดปิดบวกไปแล้วถึง 1% โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในดัชนี Bloomberg Magnificent 7 นำตลาดพุ่งขึ้นถึง 1.6% เช่นเดียวกับดัชนี Nasdaq 100 ที่บวกไป 1.1%
การปรับขึ้นนี้กระจายไปทั่วโลก สัญญาล่วงหน้าของ Nikkei 225 ในญี่ปุ่นบวก 0.6% และ Hang Seng ของฮ่องกงบวก 0.3% เป็นสัญญาณว่าตลาดเอเชียเช้านี้จะเปิดด้วยสีเขียวสดใส
ตลาดตราสารหนี้และค่าเงิน (Bonds & Currencies): ในฝั่งของตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี หรือ Bond Yield ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 4.34% ค่ะ
พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อความกังวลเรื่องสงครามที่อาจดันราคาน้ำมันให้พุ่งกระฉูดจนเงินเฟ้อทะลุเพดานลดลง นักลงทุนก็มองว่า Fed อาจไม่จำเป็นต้องคงดอกเบี้ยสูงไว้นาน และอาจจะลดดอกเบี้ยได้เร็วขึ้น ความคาดหวังนี้ทำให้นักลงทุนกลับเข้าซื้อพันธบัตร ส่งผลให้ราคาพันธบัตรสูงขึ้นและ Yield ลดลงนั่นเองค่ะ
ทิศทางนี้เกิดขึ้นทั่วโลกเช่นกัน โดย Bond Yield ของเยอรมนีและอังกฤษก็ปรับตัวลดลงตามไปด้วย
ส่วนในตลาดค่าเงิน ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสกุลเงินปลอดภัยได้อ่อนค่าลง โดยดัชนี Bloomberg Dollar Spot Index ลดลง 0.2% สวนทางกับค่าเงินยูโรและปอนด์ที่แข็งค่าขึ้น เป็นสัญญาณ "Risk-On" หรือการที่นักลงทุนกล้ายอมรับความเสี่ยงมากขึ้น
ตลาดคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrencies): แม้แต่ในตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่างคริปโตฯ ก็ยังร่วมวงเฉลิมฉลองด้วย โดย Bitcoin ดีดตัวขึ้นกว่า 2% และ Ether ก็ปรับขึ้นกว่า 3% แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ไหลกลับเข้ามาในทุกสินทรัพย์เสี่ยงเลยทีเดียวค่ะ
ประเด็นอื่นๆ นอกเหนือจากตะวันออกกลางที่น่าสนใจ
ในขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่ตะวันออกกลาง โลกในซีกอื่นๆ ก็ไม่ได้หยุดหมุนนะคะ มีความเคลื่อนไหวสำคัญๆ เกิดขึ้นพร้อมกันมากมายที่เราต้องรู้เพื่อจะได้เห็นภาพรวมของตลาดที่กว้างขึ้นค่ะ
ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ และแรงกดดันทางการเมือง: สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สำคัญของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เลยค่ะ เพราะประธานเฟด นายเจอโรม พาวเวลล์ มีกำหนดจะเข้าแถลงต่อคณะกรรมาธิการสภาถึง 2 วัน (อังคารและพุธ) ซึ่งคาดว่าเขาจะต้องอธิบายว่าทำไมเฟดถึงยังต้องการจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงไปจนถึงอย่างน้อยเดือนกันยายน สวนทางกับเสียงเรียกร้องของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการให้ลดดอกเบี้ยมาตลอด
แต่ในขณะเดียวกัน เสียงในหมู่เจ้าหน้าที่เฟดเองก็เริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น นางมิเชล โบว์แมน หนึ่งในผู้ว่าการเฟดออกมาสนับสนุนการลดดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคมนี้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้ตลาดยิ่งมีความหวังมากขึ้นไปอีกค่ะ
ความท้าทายของ NATO และการปรับตัวของพันธมิตร: ความขัดแย้งนี้ยังส่งแรงสั่นสะเทือนไปยังกลุ่มพันธมิตรตะวันตกด้วย โดยกลุ่ม NATO กำลังเผชิญวิกฤตซ้อน จากการที่สเปนปฏิเสธที่จะเพิ่มงบประมาณกลาโหม และความกังวลว่าทรัมป์อาจจะถอนกำลังทหารและอาวุธออกจากยุโรป
แต่ในทางกลับกัน เยอรมนีกลับประกาศแผนที่จะเพิ่มงบประมาณกลาโหมหลักของประเทศขึ้นเป็น 3.5% ของ GDP ในอีก 5 ปีข้างหน้า ขณะที่ญี่ปุ่นก็ได้ออกมาปฏิเสธข่าวที่ว่าสหรัฐฯ ได้ร้องขอให้เพิ่มงบประมาณในระดับเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าเหล่าพันธมิตรกำลังประเมินสถานะและปรับยุทธศาสตร์ของตัวเองกันอย่างคึกคัก
มุมมองจากยุโรปและจีน: ทางฝั่งธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประธานคริสติน ลาการ์ด ก็ออกมาบอกว่ายุโรปกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนที่ "สูงเป็นพิเศษ" และจะจับตาดูตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อย่างใกล้ชิด ส่วนจีนก็กำลังเดินเกมการทูตที่น่าสนใจ ด้านหนึ่งก็ยื่นกิ่งมะกอกให้สหรัฐฯ ด้วยการคุมเข้มสารเคมีที่ใช้ผลิตเฟนทานิล แต่อีกด้านหนึ่งก็ออกมาวิจารณ์การกระทำของสหรัฐฯ ในอิหร่าน พร้อมเสนอตัวเป็นคนกลางสร้างสันติภาพ เป็นการรักษาสมดุลความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน
ต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงในเศรษฐกิจ: หนึ่งในผลกระทบที่เป็นรูปธรรมที่สุดจากความตึงเครียดที่ผ่านมาคือต้นทุนการขนส่งค่ะ มีรายงานว่า อัตราค่าระวางเรือบรรทุกน้ำมัน ที่เดินทางผ่านอ่าวเปอร์เซียได้พุ่งสูงขึ้นกว่าเท่าตัว เนื่องจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น โดยดัชนีชี้วัดจาก Baltic Exchange พุ่งขึ้น 12% สู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023 เลยทีเดียว ซึ่งต้นทุนเหล่านี้สุดท้ายก็จะถูกส่งต่อไปยังราคาสินค้าและบริการทั่วโลกค่ะ
สรุปและความเห็นส่วนตัว
โดยสรุปแล้ว แม้ข่าวการหยุดยิงจะเป็นข่าวดีที่ช่วยให้ตลาดทั่วโลกหายใจได้ทั่วท้องขึ้นมาก แต่สถานการณ์โดยรวมยังคงเต็มไปด้วยความซับซ้อนและเปราะบางค่ะ โดยเราต้องจับตาดูทั้งการยืนยันข้อตกลงหยุดยิงอย่างเป็นทางการ ท่าทีของธนาคารกลางต่างๆ และเกมการเมืองระหว่างประเทศไปพร้อมๆ กันค่ะ
แต่ภาพตอนนี้คือโลกกลับมา risk on อีกครั้งแล้ว
ปล. แล้วสายแบกอิหร่านจะว่ายังไงละเนี่ย
ขอบคุณเนื้อหาจาก.. Beauty Investor