Inverted Yield Curve คืออะไร
โดย วิน พรหมแพทย์, CFA
1. โดยทั่วไป เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร หรือ Yield Curve มักจะเป็นทางชันขึ้น คือ ผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นมักจะต่ำกว่าพันธบัตรระยะยาว โดยมีเหตุผลว่า พันธบัตรระยะยาวมีความเสี่ยงจากราคาที่ผันผวนได้มากกว่า ผู้ลงทุนจึงคาดหวังผลตอบแทนสูงกว่า
2. Inverted Yield Curve เป็นปรากฏการณ์ที่ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว ลดลงต่ำกว่าพันธบัตรระยะสั้น ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก โดยในวันที่ 14 ส.ค. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 1.62% และ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี อยู่ที่ระดับ 1.63%
3. เมื่อดูข้อมูลย้อนหลัง 60 ปี พบว่า Inverted Yield Curve เคยเกิดขึ้นแล้ว 7 ครั้ง และทุกครั้งก็นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) แต่ก็มีระยะห่างจากวันที่เกิด Inverted Yield Curve ถึงจุดที่เป็น Recession ที่ต่างกันมาก โดยช่วงที่สั้นที่สุด คือ 5 เดือน และยาวที่สุดคือ 4 ปี ดังนั้น ปรากฏการณ์ Inverted Yield Curve จึงอาจจะไม่ได้เป็น Leading Indicator ที่ชัดเจนมากนัก
4. เหตุที่ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวถูกกดให้ต่ำลงในครั้งนี้ เกิดจากการปรับลดดอกเบี้ยของ FED และธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก และจากภาวะสภาพคล่องล้นระบบ ทำให้มีกระแสเงินมาไล่ซื้อพันธบัตรระยะยาวจนราคาปรับขึ้น (และอัตราผลตอบแทนปรับลง)
5. ภาวะอัตราผลตอบแทนต่ำเกิดขึ้นทั่วโลก แม้เส้น Yield Curve ของไทยยังไม่ Inverted แต่ก็แบนมาก โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 2 ปีอยู่ที่ 1.40% ส่วนพันธบัตรอายุ 10 ปี อยู่ที่ 1.48% ซึ่งมองว่า การลงทุนในพันธบัตรอายุต่างกัน 8 ปี เพียงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงขึ้นเพียง 0.08% ไม่คุ้มค่าความเสี่ยง เพราะเราทราบกันดีว่า หากดอกเบี้ยกลับเป็นขาขึ้น ราคาพันธบัตรจะลดลง และยิ่งพันธบัตรอายุยาว ราคาก็จะยิ่งปรับลงมาก การลงทุนในพันธบัตรอายุยาว จึงมีโอกาสขาดทุนได้มากกว่าพันธบัตรอายุสั้น
6. ยิ่งไปกว่านั้น มีพันธบัตรจำนวนมากขึ้นในยุโรปและญี่ปุ่นที่มีอัตราผลตอบแทนติดลบ (Negative Bond Yield) แปลว่า ผู้ลงทุนเอาเงินไปให้รัฐบาลกู้ยืม แถมยังต้องจ่ายดอกเบี้ยให้รัฐบาลด้วย โดยข้อมูลล่าสุดพบว่า มูลค่าพันธบัตรที่ผลตอบแทนติดลบมีมากกว่า $17 ล้านล้าน คิดเป็น 25% ของมูลค่าตลาดตราสารหนี้โลก
7. คำแนะนำ – อาจจะเร็วเกินไปที่จะฟันธงว่า Inverted Yield Curve ที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณของ Recession หรือไม่ แต่พอจะบอกได้ว่า ตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกมีภาวะ “คล้ายฟองสบู่” มาก อันเกิดจากนโยบายของธนาคารกลางต่างๆ และสภาพคล่องที่ล้นระบบ การลงทุนในพันธบัตรระยะยาวให้ผลตอบแทนต่ำเกินไป แต่กลับต้องรับความเสี่ยงสูงมากหากดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นแล้วเราจะขาดทุนจากการ mark-to-market จึงแนะนำให้เน้นลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นนะครับ
Win Phromphaet, CFA
#InvestLikeAPro