
ก.ล.ต. ระบุ EARTH อาจเข้าข่ายกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หลังมีหนี้เพิ่มขึ้นสูงกว่าที่รายงานไว้ ขณะที่ก.ล.ต.เปิดเฮียริ่งเตรียมแก้เกณฑ์หุ้นกู้-ตั๋ว B/E
นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า บมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) อาจเข้าข่ายกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 หลังพบว่ามูลค่าหนี้เพิ่มขึ้นจากที่เคยเปิดเผยไว้ ซึ่งต้องรอการชี้แจงรายงานการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ (Special Audit) ที่ก่อนหน้านี้ ก.ล.ต.มีคำสั่งให้บริษัทจัดทำขึ้น
"จากที่ ก.ล.ต.ให้ EARTH ตั้งผู้ตรวจสอบบัญชีเป็นกรณีพิเศษนั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างรอเวลาให้ EARTH ยื่นต่อศาลฯว่ารายการหนี้ที่ปูดขึ้นมามีอยู่จริงหรือไม่ ถ้ามีจริงก็จะใช้เป็นหลักฐานที่ตอนแรกแจ้งว่าไม่มี ทำไมอยู่ๆ ถึงแจ้งขึ้นมา และที่ขอผ่อนผันเรื่องการตั้งผู้สอบบัญชีเป็นกรณีพิเศษ แต่ทาง ก.ล.ต. ไม่อนุญาต ก็เพื่อเป็นการดูว่าหนี้ก้อนนี้มีอยู่จริงหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่มีจริงหรือมี แต่ไม่ลงบันทึกในงบ คณะกรรมการของ EARTH ก็ต้องที่มีความรับผิดชอบทั้งในด้านแพ่งและอาญา"นายรพี กล่าว
ก่อนหน้านี้ก.ล.ต. แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ว่า ไม่ผ่อนผัน EARTH ขยายเวลาส่งรายงานการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ (special audit) ที่ครบกหนดส่งวันที่ 24 กรกฎาคม 2560 และจะพิจารณาการทำหน้าที่ของผู้บริหาร พร้อมเร่งบริษัทให้นำส่งรายงาน เปิดเผยข้อมูลผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์โดยเร็ว
ด้าน EARTH ได้ชี้แจงว่า ก่อนวันที่คณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้บริษัทยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทต่อศาลล้มละลายกลางนั้น บริษัทได้รับแจ้งจากคู่ค้าของบริษัทว่าได้ยื่นฟ้องบริษัทต่อศาลที่มีเขตอำนาจเป็นยอดหนี้รวมทั้งสิ้นกว่า 26,000,000,000 บาท ซึ่งบริษัทจะดำเนินการต่อสู้คดีในชั้นศาลต่อไป
ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 31,828,556,143 บาท และหนี้สินรวมทั้งสิ้น 47,480,010,868 บาท ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน
นอกจากนี้ก.ล.ต.มีเอกสารเผยแพร่ระบุว่า ในเดือนสิงหาคมนี้ได้เปิดให้ผู้สนใจร่วมแสดงความคิดเห็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการออกและเสนอขายตราสารหนี้เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนแต่ละประเภทอย่างเหมาะสม และรองรับความต้องการของผู้ต้องการระดมทุนได้อย่างเพียงพอ รวมทั้งเพิ่มมาตรฐานในการปฏิบัติงานของตัวกลางเพื่อให้มีระบบควบคุมและสอบทานผลประโยชน์ของผู้ลงทุนและผู้ออกตราสาร ทั้งนี้ คาดว่าประกาศจะมีผลใช้บังคับภายในไตรมาส 4 ปีนี้
การระดมทุนโดยการออกตราสารหนี้ซึ่งประกอบด้วยตั๋วเงิน (บีอี) และหุ้นกู้ มีความจำเป็นต่อภาคธุรกิจ ซึ่งในการดำเนินนโยบายในการกำกับดูแลการออกและเสนอขายตราสารหนี้ ก.ล.ต. จะคำนึงถึงความสมดุลระหว่างความสะดวกต่อผู้ประกอบการในการระดมทุน และการให้ความคุ้มครองผู้ลงทุนประเภทต่าง ๆ ในระดับที่เหมาะสม
อย่างไรก็ดี จากการประเมินสภาพปัจจุบันแล้วพบว่า ภาคธุรกิจได้มีการออกตั๋วเงินอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการเสนอขายต่อผู้ลงทุนรายใหญ่ (high net worth) เป็นจำนวนมาก แต่ผู้ลงทุนกลุ่มดังกล่าวมักให้ความสนใจกับผลตอบแทนโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงในการลงทุน ประกอบกับตั๋วเงินเป็นตราสารที่ไม่มีกลไกให้ความคุ้มครองผู้ลงทุนเหมือนหุ้นกู้
นอกจากนี้ พบกรณีที่มีผู้ออกตราสารหนี้ใช้ช่องทางการเสนอขายแบบในวงจำกัด (แบบ PP-วงแคบ**) ผิดไปจากเจตนารมณ์ ในขณะที่ในด้านการทำหน้าที่ของตัวกลางในการขายตราสารหนี้พบว่า บางรายไม่มีการแบ่งแยกหน้าที่ระหว่างหน่วยงานที่ติดต่อกับผู้ออกตราสารและหน่วยงานขายที่ติดต่อกับผู้ลงทุนอย่างชัดเจน เป็นผลให้กระบวนการตรวจสอบหรือสอบทานข้อมูล (due diligence) ไม่ดีพอ ซึ่งอาจทำให้การคัดเลือกผลิตภัณฑ์ไม่ตรงกับความต้องการและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของผู้ลงทุน
ด้านนายรพี สุจริตกุล เลขาธิการก.ล.ต. กล่าวว่า แนวทางในการปรับปรุงกฎเกณฑ์ดังกล่าว ได้คำนึงถึงความสมดุลระหว่างความจำเป็นของภาคธุรกิจในการมีช่องทางในการระดมทุนผ่านตราสารหนี้ และระดับการมีเครื่องมือเพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนตามประเภทผู้ลงทุนและช่องทางการลงทุน โดย ก.ล.ต. ได้หารือกับตัวแทนทั้งจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ และสมาคมที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนมาแล้วชั้นหนึ่ง
อย่างไรก็ดี ก.ล.ต. ประสงค์จะรับฟังความเห็นในวงกว้างเพื่อให้แน่ใจว่าแนวทางการปรับปรุงแก้ไขจะมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
Cr. Moneychannel