ถือ SGC แค่ 1 เดือน ติดลบไป 28%
นักวิเคราะห์ มองราคาปรับฐานไปมากแล้ว
แนะ “ซื้อ” ลงทุนระยะกลางถึงยาว ให้เป้า 5.60 บาท

.
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ราคาหุ้นของกลุ่มหุ้นตระกูล “เจมาร์ท” ได้มีการปรับตัวลดลงมาอย่างร้อนแรง ซึ่งรวมไปถึงหุ้นน้องใหม่ป้ายแดงที่พึ่งเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯอย่างบริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC ที่ประกอบธุรกิจในการให้บริการสินเชื่อ
.
โดยหากดูข้อมูลหรือความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น SGC ย้อนหลัง 1 เดือน (วันที่ 16 ม.ค. 66 ถึง 15 ก.พ. 65) จะพบว่าราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงถึง 28% หรือลงมาอยู่ที่ระดับราคา 3.60 บาท จึงทำให้ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนก็ตั้งข้อสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับหุ้นดังกล่าว
.
ในวันนี้ทาง Wealthy Thai จึงขอใช้โอกาสนี้ ในการเป็นตัวแทนของเหล่านักลงทุนและผู้อ่านมาไขข้อสงสัย พร้อมกับหากลยุทธ์การลงทุนในระยะต่อไปจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมานำเสนอหรือให้คำแนะนำให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุนที่สนใจ
.
โดยบทวิเคราะห์จากบล.เอเซีย พลัส ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และกำหนดเป้าหมายการลงทุนในระยะกลางถึงยาว พร้อมกับให้ราคาเป้าหมายที่ 5.60 บาท เนื่องจากราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมาได้สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจชะลอตัวและภาวะเงินเฟ้อไปมากแล้ว ขณะที่การจ่ายปันผลปี 65 อยู่ที่ 0.11 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.5%
.
สำหรับภาพรวมธุรกิจแนวโน้มหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)และสินเชื่อสุทธิจะยังเป็นขาขึ้นในงวดครึ่งปีแรกปี 66 แต่จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/65 เนื่องจากแนวโน้มความสามารถในการชําระหนี้ของลูกหนี้ที่ยังไม่ดีขึ้น ยังทรงตัวใกล้เคียงงวดไตรมาส 4/65 โดยเฉพาะลูกหนี้ในกลุ่มเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า
.
ด้าน SGC ได้ตั้งเป้าจะควบคุมหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)และสินเชื่อสุทธิปี 66 ไม่ให้เกิน 5% (จาก ณ สิ้นปี 65 ที่ 4.6%) และประเมินว่าแนวโน้มหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)และสินเชื่อสุทธิจะทําจุดสูงสุดของปีในงวดไตรมาส 2/66-3/66 และจะทยอยปรับลดลงในงวดไตรมาส 4/66 ทําให้ประเมินว่าแนวโน้มต้นทุนเครดิตปี 66 จะยืนสูงต่อเนื่องจากปี 65
.
ด้านกำไรสุทธิได้มีการปรับลดประมาณการปี 66-67 ลง 7.8% และ 13.0% เนื่องจากผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ โดยปรับเพิ่มสมมติฐานต้นทุนเครดิตปี 2566-67 ขึ้นมาที่ 3.3% และ 3.0% ตามลําดับและปรับเพิ่มสมมติฐานยีลด์เฉลี่ยปี 2566-67 ขึ้นมาที่ 17.7% และ 16.9% เนื่องจากประเมินไว้ต่ำเกินไปและเพื่อให้สอดคล้องกับยีลด์เฉลี่ยปี 2565
.
ทั้งนี้ ภายหลังปรับประมาณการคาดกําไรสุทธิปี 2566 ยังเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 27.1% จากแนวโน้มสินเชื่อสุทธิปี 2566 จะเติบโตจากปีก่อนหน้า 33.1% ตามการเร่งปล่อยสินเชื่อจํานําทะเบียนรถบรรทุกมากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้ผลบวกจากแนวโน้มค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลงหลังจากได้เงินระดมทุนจากไอพีโอ
.
อย่างไรก็ดีในเบื้องต้นคาดกําไรสุทธิงวดไตรมาส 1/66 จะอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังสามารถเติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน จากแนวโน้มต้นทุนเครดิตงวดไตรมาส 1/66 ที่จะปรับเพิ่มขึ้นผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าแนวโน้มสินเชื่อเติบโตต่อเนื่อง หลังจากได้เงินจากการระดมทุนจากไอพีโอ